ค่าเงิน€ คืออะไร? ทำความรู้จักสกุลเงินยูโร (EUR)
ยูโร (EUR) คืออะไร? สกุลเงินหลักของยุโรป
สกุลเงินยูโร หรือที่รู้จักกันในชื่อยูโร มีสัญลักษณ์ € ถือเป็นหนึ่งในสกุลเงินที่ทรงอิทธิพลสูงสุดทั่วโลก นอกจากนี้ยังเป็นสกุลเงินหลักของสหภาพยุโรปด้วย การนำยูโรมาใช้ครั้งแรกเกิดขึ้นในรูปแบบดิจิทัลเมื่อปี 1999 ก่อนจะขยายมาสู่เหรียญและธนบัตรจริงๆ ในปี 2002 ซึ่งถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ช่วยขับเคลื่อนการรวมตัวทางเศรษฐกิจของยุโรป ทำให้การค้าขาย การลงทุน และการเดินทางระหว่างประเทศในยูโรโซนราบรื่นยิ่งขึ้น สัญลักษณ์ € นี้ได้แรงบันดาลใจจากตัวอักษรกรีก epsilon ซึ่งสะท้อนถึงความมั่นคงของสกุลเงินนี้

ประเทศใดบ้างที่ใช้สกุลเงินยูโร?
ขณะนี้มีถึง 20 ชาติในยูโรโซน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของสหภาพยุโรป ที่นำยูโรมาใช้เป็นสกุลเงินหลัก ประกอบด้วยออสเตรีย เบลเยียม โครเอเชีย ไซปรัส เอสโตเนีย ฟินแลนด์ ฝรั่งเศส เยอรมนี กรีซ ไอร์แลนด์ อิตาลี ลัตเวีย ลิทัวเนีย ลักเซมเบิร์ก มอลตา เนเธอร์แลนด์ โปรตุเกส สโลวาเกีย สโลวีเนีย และสเปน ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีอีกหลายแห่งที่ไม่ได้สังกัดสหภาพยุโรปแต่เลือกใช้ยูโรอยู่ดี เช่น อันดอร์รา โคโซโว โมนาโก มอนเตเนโกร ซานมารีโน และนครรัฐวาติกัน การที่หลายพื้นที่ใช้สกุลเงินเดียวกันนี้ช่วยให้เรื่องการเงินสำหรับนักเดินทางหรือนักธุรกิจที่ต้องข้ามแดนในยุโรปง่ายขึ้นมาก โดยไม่ต้องกังวลเรื่องอัตราแลกเปลี่ยนบ่อยๆ
อัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินยูโร (€) วันนี้: ยูโรเท่ากับกี่บาทไทย?
เช็คเรทแลกเปลี่ยนยูโร (EUR) ล่าสุด
สำหรับชาวไทยที่สนใจแลกเงินยูโร สิ่งที่ขาดไม่ได้คือการเช็คอัตราแลกเปลี่ยนล่าสุดในแต่ละวัน เพราะค่านี้เปลี่ยนแปลงตลอด โดยขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง อัตราแลกเปลี่ยนยูโรกับบาทไทย หรือที่เรียกว่า EUR/THB จะแบ่งเป็นสองส่วนหลัก คือ เรทซื้อ ซึ่งเป็นราคาที่ร้านแลกเงินหรือธนาคารจ่ายให้เราถ้าเราขายยูโรให้พวกเขา และเรทขาย ซึ่งเป็นราคาที่เราต้องจ่ายถ้าซื้อยูโรจากพวกเขา โดยปกติเรทขายจะสูงกว่าเสมอ เพื่อให้ผู้ให้บริการมีส่วนต่างกำไรจากการทำธุรกรรมเหล่านี้

เปรียบเทียบค่าเงินยูโรจากธนาคารและร้านแลกเงินชั้นนำในไทย
ในไทยมีทางเลือกเยอะสำหรับการแลกยูโร ไม่ว่าจะไปที่ธนาคารใหญ่หรือร้านแลกเงินเอกชน การเปรียบเทียบเรทก่อนตัดสินใจช่วยให้ได้ราคาที่คุ้มค่าที่สุด โดยทั่วไปร้านเอกชนมักให้เรทดีกว่าธนาคาร แต่ธนาคารเองก็เด่นเรื่องความสะดวกและเครือข่ายสาขาที่กว้างขวาง
- ธนาคารกรุงไทย (Krungthai Bank): ธนาคารหลักที่ให้บริการแลกเปลี่ยนสกุลเงินต่างประเทศ สามารถเช็คเรทยูโอล่าสุดได้จากเว็บไซต์ ธนาคารกรุงไทย
- ธนาคารกรุงศรีอยุธยา (Krungsri Bank): ธนาคารยักษ์ใหญ่อีกแห่งที่มีเรทแลกเปลี่ยนที่น่าดึงดูด
- SuperRich (ซุปเปอร์ริช): ร้านแลกเงินยอดนิยมสำหรับนักท่องเที่ยวและคนที่แลกจำนวนมาก เพราะมักให้เรทยูโรดีกว่าธนาคาร สามารถดูเรทได้ที่ SuperRich Thailand
ตารางเปรียบเทียบอัตราแลกเปลี่ยนยูโร (EUR) เทียบกับเงินบาท (THB) (ตัวอย่าง)
สถาบันแลกเงิน | เรทซื้อ (บาท/ยูโร) | เรทขาย (บาท/ยูโร) |
---|---|---|
ธนาคาร A | 38.50 | 39.20 |
ธนาคาร B | 38.45 | 39.15 |
SuperRich | 38.60 | 39.05 |
*หมายเหตุ: ข้อมูลในตารางเป็นเพียงตัวอย่าง โปรดตรวจสอบอัตราแลกเปลี่ยนจริง ณ วันที่ต้องการทำธุรกรรม*
ปัจจัยอะไรบ้างที่ส่งผลต่อค่าเงินยูโร (€)?
ค่าเงินยูโรปรับตัวขึ้นลงตลอดเวลา โดยได้รับอิทธิพลจากองค์ประกอบหลากหลาย ทั้งด้านเศรษฐกิจใหญ่ๆ และสถานการณ์การเมืองโลก การเข้าใจสิ่งเหล่านี้จะช่วยให้คุณคาดเดาแนวโน้มได้ดีขึ้น และวางแผนแลกเงินอย่างมีกลยุทธ์

เศรษฐกิจของกลุ่มยูโรโซน
สภาพเศรษฐกิจโดยรวมของยูโรโซนเป็นตัวกำหนดหลักที่ทำให้ยูโรแข็งหรืออ่อน ตัวชี้วัดสำคัญๆ ที่ต้องจับตา ได้แก่
- ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP): ถ้าการเติบโตของ GDP สูง แสดงถึงเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง ซึ่งมักดันให้ยูโรมีมูลค่าสูงขึ้น
- อัตราเงินเฟ้อ (Inflation Rate): ธนาคารกลางยุโรป หรือ ECB จะเข้าแทรกแซงถ้าเงินเฟ้อเกินกรอบ ซึ่งอาจนำไปสู่การปรับนโยบายดอกเบี้ย
- อัตราดอกเบี้ย (Interest Rate): ถ้า ECB ขึ้นดอกเบี้ย นักลงทุนจากต่างชาติจะสนใจยูโรโซนมากขึ้นเพื่อผลตอบแทนที่ดีกว่า ส่งผลให้ยูโรแข็งค่า คุณสามารถติดตามข่าวและนโยบาย ECB ได้จากเว็บไซต์อย่างเป็นทางการ ธนาคารกลางยุโรป
- อัตราการว่างงาน: ถ้าคนตกงานน้อยลง เศรษฐกิจย่อมคึกคัก ซึ่งช่วยหนุนยูโรได้
สถานการณ์การเมืองและภูมิรัฐศาสตร์
เหตุการณ์ทางการเมืองทั้งในและนอกยูโรโซนสามารถสั่นคลอนยูโรได้อย่างรุนแรง เช่น
- ความไม่แน่นอนทางการเมือง: อย่างการเลือกตั้งใหญ่ การสลับรัฐบาล หรือข้อพิพาทภายในชาติสมาชิก อาจก่อให้เกิดความผันผวนในตลาด
- ความขัดแย้งระหว่างประเทศ: ถ้าความตึงเครียดหรือสงครามในภูมิภาคต่างๆ รุนแรง นักลงทุนอาจหันไปหาสกุลเงินปลอดภัยอย่างดอลลาร์สหรัฐหรือเยนญี่ปุ่น ทำให้ยูโรอ่อนลง
- นโยบายการค้า: ข้อตกลงหรือสงครามการค้ากับคู่ค้าหลักของยูโรโซน ก็กระทบต่อความเชื่อมั่นและมูลค่าเงินได้
การไหลเข้าออกของเงินทุน
การเคลื่อนไหวของเงินทุนข้ามพรมแดนก็มีบทบาทสำคัญ ถ้ามีเงินทุนจากต่างชาติไหลเข้ายูโรโซน เช่น ลงทุนในหุ้นหรือพันธบัตร ความต้องการยูโรจะเพิ่ม ส่งผลให้ค่าเงินแข็งขึ้น แต่ถ้านักลงทุนถอนเงินออก ยูโรก็อาจอ่อนตัวตามไปด้วย โดยเฉพาะในช่วงที่ตลาดโลกไม่แน่นอน
เคล็ดลับและกลยุทธ์แลกเงินยูโร (€) ให้คุ้มค่าที่สุดสำหรับคนไทย
การแลกยูโรให้ได้ราคาดีคือเป้าหมายสำคัญสำหรับนักเดินทางหรือนักลงทุนไทย ต่อไปนี้คือวิธีปฏิบัติและกลยุทธ์ที่ช่วยประหยัดเงินได้จริง โดยอิงจากประสบการณ์ทั่วไป
ควรแลกเงินยูโรตอนไหนดี?
การเลือกจังหวะแลกเงินต้องอาศัยการสังเกตและข้อมูล
- ติดตามกราฟและข่าวสาร: ควรเช็คกราฟอัตราแลกเปลี่ยนยูโรกับบาทไทยบ่อยๆ และอ่านข่าวเศรษฐกิจยูโรโซน เพื่อจับแนวโน้ม เช่น ถ้า ECB มีนโยบายใหม่ที่อาจทำให้ยูโรอ่อน อาจเป็นเวลาดีที่จะแลก
- ทยอยแลก: ถ้ามีเวลาว่างและกลัวความผันผวน ลองแบ่งแลกทีละน้อยในช่วงที่เรทดี จะช่วยกระจายความเสี่ยง ไม่ต้องเสี่ยงหมดตัวในครั้งเดียว
- แลกเมื่อเห็นโอกาส: ถ้ายูโรอ่อนกว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลังมาก นั่นคือสัญญาณว่าควรลงมือ โดยเฉพาะถ้าคุณวางแผนเดินทางในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า
เลือกช่องทางแลกเงินยูโรแบบไหนดี? ธนาคาร vs ร้านแลกเงิน vs บัตร Travel Card
ชาวไทยมีตัวเลือกหลากหลายสำหรับการแลกยูโร แต่ละช่องทางมีจุดเด่นและข้อจำกัดต่างกัน
- ธนาคาร: ใช้งานง่าย สาขาเยอะ และปลอดภัยสูง เหมาะสำหรับคนที่แลกไม่มากหรือต้องการความรวดเร็ว แม้เรทอาจไม่ดีเท่าร้านเอกชน แต่ก็ไม่ต้องเดินทางไกล
- ร้านแลกเงินเอกชน (เช่น SuperRich): มักให้เรทดีกว่า โดยเฉพาะปริมาณใหญ่ แต่สาขาอาจไม่สะดวกทุกคน ต้องไปด้วยตัวเอง
- บัตร Travel Card (บัตรเติมเงินสำหรับเดินทาง): ทางเลือกสมัยใหม่ที่กำลังฮิต เพราะช่วยล็อกเรทได้ตอนที่พอใจ แล้วใช้จ่ายในยุโรปเหมือนเดบิตการ์ด ข้อดีคือพกพาเงินสดน้อยลง ปลอดภัยกว่า และค่าธรรมเนียมแปลงเงินต่ำกว่าบัตรเครดิตทั่วไป แต่ต้องเช็คค่ากด ATM หรือค่าบริการรายปีของแต่ละบัตรให้ดี
ข้อควรระวังในการแลกเงินยูโร
เพื่อป้องกันปัญหาและความเสี่ยง ควรยึดหลักเหล่านี้
- ระวังมิจฉาชีพ: แลกเงินเฉพาะกับร้านหรือธนาคารที่เชื่อถือได้ อย่าเสี่ยงกับคนแปลกหน้าหรือผู้ให้บริการที่ไม่มีใบอนุญาต
- ตรวจสอบธนบัตร: หลังได้รับยูโร ควรเช็คให้แน่ใจว่าธนบัตรแท้ โดยดูลายน้ำ แถบโฮโลแกรม หรือหมึกเปลี่ยนสี สามารถหาข้อมูลเพิ่มจากเว็บธนาคารกลางยุโรป
- เก็บใบเสร็จ: อย่าทิ้งใบเสร็จไว้เป็นหลักฐาน เผื่อมีปัญหาต้องตรวจสอบภายหลัง
- แจ้งธนาคารหากเดินทาง: ถ้าจะใช้บัตรเครดิตหรือเดบิตในยุโรป ควรแจ้งธนาคารล่วงหน้า เพื่อหลีกเลี่ยงการบล็อกบัตรจากธุรกรรมผิดปกติ
การใช้จ่ายเงินยูโร (€) อย่างชาญฉลาดเมื่อไปยุโรป
พอถึงยุโรปแล้ว การจัดการเงินยูโรให้ดีจะทำให้ทริปสนุกและไม่เปลืองงบ ลองวางแผนล่วงหน้าเพื่อหลีกเลี่ยงค่าใช้จ่ายแฝง
เงินสด vs บัตรเครดิต/เดบิต: ทางเลือกไหนดีกว่ากัน?
- เงินสด (Cash): ควรพกติดตัวสักหน่อยสำหรับค่าจิปาถะ เช่น ค่าโดยสาร ค่าอาหารข้างทาง หรือร้านเล็กๆ ที่ไม่รับบัตร โดยเฉพาะในเมืองรองหรือตลาดนัด แต่ระวังเรื่องความปลอดภัย อย่าพกเยอะเกินไป
- บัตรเครดิต (Credit Cards): ใช้งานสะดวกและรับได้กว้างขวาง เหมาะกับค่าที่พัก ตั๋วเครื่องบิน หรือช้อปปิ้งใหญ่ แต่ต้องระวังค่าธรรมเนียมแปลงสกุลเงิน ซึ่งธนาคารไทยส่วนใหญ่คิดราว 2.5% และเรทที่อาจไม่คุ้มเท่าแลกเงินสด
- บัตรเดบิต (Debit Cards) / บัตร Travel Card: ดีสำหรับการใช้จ่ายรายวัน โดยเฉพาะ Travel Card ที่ให้เรทดีและค่าธรรมเนียมต่ำ แต่เช็คก่อนว่าบัตรรองรับการใช้ในต่างแดนและค่าธรรมเนียมธุรกรรมอย่างไร
การใช้บัตร ATM ในยุโรป: สิ่งที่คนไทยควรรู้
การถอนเงินจาก ATM ในยุโรปเป็นทางเลือกยอดนิยม แต่มีจุดที่ต้องระวัง
- ค่าธรรมเนียม: ธนาคารไทยมักเรียกค่ากดเงินต่างประเทศ 100-150 บาทต่อครั้ง บวกกับค่าจากตู้ ATM ท้องถิ่นบางแห่ง
- อัตราแลกเปลี่ยน: เรทที่ได้จาก ATM มักเป็นของธนาคาร ซึ่งอาจไม่ดีเท่าร้านแลกเงิน
- เลือกสกุลเงิน: ถ้า ATM ถามว่าจะแปลงเป็นบาทไทยหรือไม่ (เรียกว่า Dynamic Currency Conversion) ให้ปฏิเสธ แล้วเลือกถอนเป็นยูโร เพื่อให้ธนาคารไทยจัดการแปลงแทน จะได้เรทที่ดีกว่า
ทิปส์สำหรับการท่องเที่ยวในยุโรปด้วยเงินยูโร
- วัฒนธรรมการให้ทิป: ในยุโรปหลายประเทศ ค่าเซอร์วิสรวมในบิลแล้ว ทิปจึงเป็นทางเลือก ถ้าบริการดี ลองให้ 5-10% ของยอดบิล
- การขอคืนภาษี (VAT Refund): ชาวไทยที่ช้อปปิ้งในยุโรปสามารถขอคืน VAT ได้ ถ้านำสินค้าออกจากสหภาพยุโรป ถามร้านเรื่องเอกสาร Tax Free และเตรียมไว้สำหรับยื่นที่สนามบิน
- เตรียมเงินเหรียญ: มีเหรียญยูโรติดกระเป๋าสำหรับห้องน้ำสาธารณะหรือตู้ขายของอัตโนมัติ
สรุป: เข้าใจค่าเงิน€ และแลกเปลี่ยนอย่างมั่นใจ
การรู้จักยูโรตั้งแต่พื้นฐาน ประเทศที่ใช้ ปัจจัยที่กระทบมูลค่า ไปจนถึงวิธีแลกและใช้จ่ายอย่างชาญฉลาด เป็นกุญแจสำคัญสำหรับชาวไทยที่กำลังจะไปยุโรปหรือทำธุรกรรมที่เกี่ยวข้อง การเลือกช่องทางแลกที่เหมาะ จับจังหวะให้ดี และหลีกเลี่ยงค่าธรรมเนียมซ่อนเร้น จะช่วยประหยัดได้เยอะ ไม่ว่าคุณจะเป็นนักท่องเที่ยวที่ฝันอยากเที่ยวยุโรป หรือนักลงทุนที่สนใจตลาดแลกเปลี่ยน ข้อมูลและเคล็ดลับเหล่านี้จะทำให้คุณจัดการเงินได้อย่างมั่นใจและคุ้มค่าที่สุด
1 ยูโร (€) เท่ากับ กี่บาทไทย ณ ปัจจุบัน? และเช็คได้จากที่ไหนบ้าง?
อัตราแลกเปลี่ยน 1 ยูโรเทียบกับเงินบาทไทยมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา คุณสามารถเช็คอัตราแลกเปลี่ยนล่าสุดได้จากเว็บไซต์ของธนาคารพาณิชย์ชั้นนำในประเทศไทย เช่น ธนาคารกรุงไทย, ธนาคารกรุงศรี หรือร้านแลกเงินเอกชนอย่าง SuperRich รวมถึงแอปพลิเคชันและเว็บไซต์เปรียบเทียบอัตราแลกเปลี่ยนต่างๆ
คนไทยควรแลกเงินยูโรที่ไหนดีที่สุดในประเทศไทย? (ธนาคาร vs SuperRich vs อื่นๆ)
โดยทั่วไปแล้ว ร้านแลกเงินเอกชนอย่าง SuperRich มักจะให้อัตราแลกเปลี่ยนยูโรที่ดีกว่าธนาคารพาณิชย์ โดยเฉพาะเมื่อแลกเงินจำนวนมาก อย่างไรก็ตาม ธนาคารมีข้อดีเรื่องความสะดวกสบายและสาขาที่ครอบคลุม หากแลกไม่มากนัก ธนาคารก็เป็นทางเลือกที่สะดวก หากต้องการเรทที่ดีที่สุด ควรเปรียบเทียบเรทจากหลายๆ แหล่งก่อนตัดสินใจ
ควรแลกเงินยูโรเป็นเงินสดไปยุโรปเยอะแค่ไหน และพกบัตรเครดิต/Travel Card ไปด้วยดีไหม?
ควรพกเงินสดไปในปริมาณที่พอเหมาะสำหรับค่าใช้จ่ายเล็กๆ น้อยๆ ประมาณ 50-100 ยูโรต่อวัน ส่วนที่เหลือแนะนำให้ใช้บัตรเครดิตหรือบัตร Travel Card บัตร Travel Card มักจะให้อัตราแลกเปลี่ยนที่ดีกว่าและมีค่าธรรมเนียมต่ำกว่าบัตรเครดิตทั่วไป ทั้งนี้ การพกบัตรหลายประเภทจะช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นและความปลอดภัยในการใช้จ่าย
ปัจจัยอะไรบ้างที่ทำให้ค่าเงินยูโร (€) แข็งค่าหรืออ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับเงินบาท?
ปัจจัยหลักได้แก่:
- เศรษฐกิจยูโรโซน: อัตราการเติบโต GDP, เงินเฟ้อ, อัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางยุโรป (ECB)
- สถานการณ์การเมือง: ความไม่แน่นอนทางการเมืองหรือเหตุการณ์สำคัญในยุโรป
- การไหลเข้าออกของเงินทุน: การลงทุนของต่างชาติในยูโรโซน
- ปัจจัยอื่นๆ: เช่น นโยบายการค้า, เหตุการณ์ระดับโลกที่ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน
ถ้าจะไปเที่ยวยุโรป ควรติดตามค่าเงินยูโรช่วงไหนเพื่อแลกให้ได้ราคาดีที่สุด?
ไม่มีช่วงเวลาที่แน่นอนว่าค่าเงินยูโรจะดีที่สุดเมื่อไหร่ แต่ควรติดตามข่าวสารเศรษฐกิจและกราฟอัตราแลกเปลี่ยนอย่างสม่ำเสมอ หากเห็นว่าค่าเงินยูโรอ่อนค่าลงจากค่าเฉลี่ยในอดีตอย่างมีนัยสำคัญ ก็เป็นโอกาสที่ดีในการแลก หากมีเวลา อาจพิจารณาทยอยแลกทีละน้อยเพื่อกระจายความเสี่ยง
การใช้จ่ายด้วยบัตร ATM หรือบัตรเดบิตในยุโรป มีค่าธรรมเนียมอะไรที่คนไทยต้องระวังบ้าง?
สิ่งที่ต้องระวังคือ:
- ค่าธรรมเนียมการกด ATM ต่างประเทศ: ธนาคารไทยมักคิดค่าธรรมเนียมประมาณ 100-150 บาทต่อครั้ง
- ค่าธรรมเนียมจากตู้ ATM ปลายทาง: ตู้ ATM ในยุโรปบางแห่งอาจคิดค่าธรรมเนียมเพิ่มเติม
- ค่าธรรมเนียมแปลงสกุลเงิน: ธนาคารผู้ออกบัตรจะคิดค่าธรรมเนียมการแปลงสกุลเงินต่างประเทศ (FX Fee) ประมาณ 2.5%
- Dynamic Currency Conversion (DCC): หากมีตัวเลือกให้แปลงเป็นเงินบาทไทยที่ตู้ ATM ควรปฏิเสธ และเลือกกดเป็นสกุลเงินยูโรแทน เพื่อให้ได้อัตราแลกเปลี่ยนที่ดีกว่า
นอกจากยูโรแล้ว คนไทยที่เดินทางไปยุโรปควรพกสกุลเงินอื่นไปด้วยหรือไม่? (เช่น ปอนด์, ดอลลาร์)
หากคุณเดินทางเฉพาะในกลุ่มประเทศยูโรโซน ก็ไม่จำเป็นต้องพกสกุลเงินอื่น แต่หากคุณมีแผนจะเดินทางไปยังประเทศที่ไม่ได้ใช้ยูโร เช่น สหราชอาณาจักร (ใช้ปอนด์สเตอร์ลิง) หรือสวิตเซอร์แลนด์ (ใช้ฟรังก์สวิส) ก็ควรพกสกุลเงินท้องถิ่นของประเทศนั้นๆ ไปด้วย หรือเตรียมบัตร Travel Card ที่รองรับหลายสกุลเงิน เพื่อความสะดวกในการใช้จ่าย
ถ้าต้องการส่งเงินยูโรไปยุโรป หรือรับเงินยูโรจากยุโรป ควรทำอย่างไร?
คุณสามารถทำธุรกรรมผ่านธนาคารพาณิชย์ในประเทศไทยได้ ซึ่งมีบริการโอนเงินระหว่างประเทศ ทั้งการโอนเงินออกและรับเงินเข้า ควรตรวจสอบค่าธรรมเนียมและอัตราแลกเปลี่ยนกับธนาคารที่คุณใช้บริการ นอกจากนี้ ยังมีบริการโอนเงินระหว่างประเทศผ่านผู้ให้บริการเฉพาะทาง ซึ่งอาจมีค่าธรรมเนียมและอัตราแลกเปลี่ยนที่แตกต่างกันไป
มีข้อควรระวังอะไรบ้างเกี่ยวกับมิจฉาชีพ หรือเงินยูโรปลอมที่คนไทยควรรู้?
สิ่งสำคัญคือการแลกเงินกับสถาบันที่ได้รับอนุญาตเท่านั้น หลีกเลี่ยงการแลกกับบุคคลที่ไม่รู้จัก ตรวจสอบธนบัตรยูโรทุกครั้งที่ได้รับ โดยเฉพาะธนบัตรใบใหญ่ สังเกตลักษณะเด่น เช่น ลายน้ำ, แถบโฮโลแกรม, หมึกเปลี่ยนสี และพื้นผิวที่สัมผัสได้ หากไม่แน่ใจ ควรปฏิเสธธนบัตรนั้นและติดต่อเจ้าหน้าที่เพื่อขอความช่วยเหลือ หากพบการกระทำที่น่าสงสัยเกี่ยวกับมิจฉาชีพ ควรแจ้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่นั้นๆ ทันที