บทนำ: อุปสงค์และอุปทานคืออะไร และทำไมจึงสำคัญ?
ในระบบเศรษฐกิจที่เต็มไปด้วยการซื้อขายสินค้าและบริการ สองปัจจัยหลักที่ขับเคลื่อนทิศทางของตลาดและกำหนดราคาคืออุปสงค์และอุปทาน อุปสงค์หมายถึงความปรารถนาของผู้บริโภคที่อยากได้สินค้าหรือบริการในราคาและเวลาที่เหมาะสม ขณะที่อุปทานคือความพร้อมของผู้ผลิตในการนำเสนอสินค้าหรือบริการเหล่านั้น การรู้จักแนวคิดพื้นฐานทั้งสองนี้ช่วยให้เราเข้าใจกลไกตลาดได้ลึกซึ้ง ซึ่งเป็นระบบที่คอยจัดสรรทรัพยากรในเศรษฐกิจโดยไม่ต้องมีใครสั่งการโดยตรง

การศึกษาอุปสงค์และอุปทานไม่ได้จำกัดอยู่แค่ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์หรือนักเรียนเท่านั้น แต่ยังมีประโยชน์มหาศาลสำหรับเจ้าของธุรกิจที่ต้องวางแผนราคาและการผลิต นักวางนโยบายที่อยากกระตุ้นหรือควบคุมเศรษฐกิจ รวมถึงคนทั่วไปที่สงสัยว่าทำไมราคาสินค้าประจำวันอย่างข้าวหอมมะลิหรือทุเรียนถึงผันผวนตามฤดูกาล การเข้าใจปัจจัยเหล่านี้ช่วยให้เราวิเคราะห์แนวโน้มตลาดได้อย่างมีเหตุผล และตัดสินใจทางเศรษฐกิจได้ดีขึ้นไม่ว่าจะในระดับไหน

อุปสงค์: ความต้องการซื้อในตลาด
คำจำกัดความของอุปสงค์
อุปสงค์คือปริมาณสินค้าหรือบริการที่ผู้บริโภคยินดีและสามารถจ่ายเงินซื้อได้จริงในราคาต่างๆ ภายในช่วงเวลาที่กำหนด แค่ความอยากได้อย่างเดียวไม่พอ ต้องมีกำลังซื้อที่แท้จริงมาสนับสนุนด้วย เราต้องแยกให้ชัดระหว่างอุปสงค์ ซึ่งครอบคลุมความสัมพันธ์ทั้งหมดระหว่างราคากับปริมาณที่ต้องการ กับปริมาณอุปสงค์ ซึ่งหมายถึงปริมาณที่อยากซื้อเฉพาะเจาะจงในราคานั้นๆ

กฎของอุปสงค์
กฎของอุปสงค์บอกว่า ถ้าปัจจัยอื่นๆ ไม่เปลี่ยนแปลง ราคาของสินค้าจะมีแนวโน้มตรงข้ามกับปริมาณที่ผู้บริโภคต้องการ กล่าวคือ ราคาสูงขึ้น ผู้บริโภคก็ซื้อน้อยลง และราคาต่ำลงก็ซื้อมากขึ้น ซึ่งเราสามารถเห็นภาพนี้จากเส้นอุปสงค์ที่ลาดลงจากซ้ายไปขวาบนกราฟ โดยปกติแล้วกฎนี้เกิดจากพฤติกรรมมนุษย์ที่มองหาความคุ้มค่ามากขึ้นเมื่อราคาถูกลง
ปัจจัยสำคัญในการกำหนดอุปสงค์
นอกจากราคาของสินค้าตัวเอง ปัจจัยอื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวกับราคายังส่งผลให้อุปสงค์ทั้งหมดของตลาดเปลี่ยนแปลง ทำให้เส้นอุปสงค์เลื่อนไปทั้งเส้น ซึ่งต่างจากการเคลื่อนไหวตามราคาบนเส้นเดิม สิ่งเหล่านี้ช่วยอธิบายว่าทำไมตลาดถึงปรับตัวตามสถานการณ์ที่หลากหลาย
- รายได้ของผู้บริโภค:
สำหรับสินค้าปกติ เมื่อรายได้เพิ่ม อุปสงค์ก็เพิ่มตาม เช่น รถยนต์หรูหรือเสื้อผ้าแบรนด์ดัง แต่สำหรับสินค้าที่มีคุณภาพต่ำ รายได้ที่สูงขึ้นกลับทำให้อุปสงค์ลดลง อย่างบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปหรือข้าวคุณภาพต่ำที่คนหันไปเลือกของดีกว่า - รสนิยมและความนิยม: ถ้าสินค้ากำลังเป็นที่นิยมหรือตรงกับรสนิยมของคน อุปสงค์ก็พุ่งสูง เช่น ยุคที่เครื่องดื่มจากพืชอย่างนมโอ๊ตได้รับความชื่นชอบมากกว่าแบบดั้งเดิม ทำให้ยอดขายพุ่งปรี๊ด
- ราคาสินค้าที่เกี่ยวข้อง:
สินค้าทดแทนอย่างชากับกาแฟ ถ้าราคากาแฟแพง ชาก็ขายดีขึ้น แต่สินค้าประกอบอย่างรถยนต์กับน้ำมัน ถ้าน้ำมันราคาสูง การซื้อรถก็อาจชะลอตัว - การคาดการณ์ในอนาคต: ถ้าคนคิดว่าราคาจะขึ้นในอนาคต ก็รีบซื้อตอนนี้ เช่น กักตุนก่อนภาษีใหม่ หรือถ้าคาดว่ารายได้จะดีขึ้น ก็ใช้จ่ายมากกว่าเดิม
- จำนวนประชากร: ถ้าตลาดมีผู้บริโภคเพิ่ม เช่น นักท่องเที่ยวที่กลับมาหลังโควิดในไทย อุปสงค์บริการอย่างโรงแรมและร้านอาหารก็ทะลัก ธนาคารแห่งประเทศไทยได้วิเคราะห์ผลกระทบของการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวต่อเศรษฐกิจไทย ซึ่งช่วยให้เห็นภาพชัดเจนว่าปัจจัยนี้ขับเคลื่อนเศรษฐกิจอย่างไร
อุปทาน: ปริมาณสินค้าที่ผู้ผลิตพร้อมเสนอขาย
คำจำกัดความของอุปทาน
อุปทานคือปริมาณสินค้าหรือบริการที่ผู้ผลิตยินดีนำเสนอและสามารถผลิตขายได้จริงในราคาต่างๆ ภายในเวลาที่กำหนด คล้ายกับอุปสงค์ ความยินดีต้องมาพร้อมความสามารถจริงๆ และเราสามารถแยกอุปทาน ซึ่งเป็นความสัมพันธ์ทั้งหมดระหว่างราคากับปริมาณที่เสนอ กับปริมาณอุปทาน ซึ่งคือปริมาณเฉพาะในราคานั้น
กฎของอุปทาน
กฎของอุปทานบอกว่า ถ้าปัจจัยอื่นๆ คงที่ ราคาจะเคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวกับปริมาณที่ผู้ผลิตเสนอ ราคาสูงขึ้นก็ผลิตมากขึ้นเพื่อกำไรที่เพิ่ม และราคาต่ำลงก็ลดลงตาม ซึ่งแสดงผ่านเส้นอุปทานที่ลาดขึ้นจากซ้ายไปขวา กฎนี้สะท้อนแรงจูงใจของผู้ผลิตที่มองหาผลตอบแทนสูงสุด
ปัจจัยสำคัญในการกำหนดอุปทาน
ปัจจัยที่ไม่ใช่ราคาจะทำให้เส้นอุปทานเลื่อนทั้งเส้น ส่งผลต่ออุปทานทั้งตลาด และช่วยให้ผู้ผลิตปรับตัวตามสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนไป
- ต้นทุนการผลิต: รวมถึงราคาวัตถุดิบ ค่าแรง และพลังงาน ถ้าต้นทุนสูง กำไรน้อยลง ผู้ผลิตก็ลดปริมาณ เช่น ราคาน้ำมันแพงทำให้ค่าขนส่งสินค้าสูงตาม
- เทคโนโลยี: เทคโนโลยีใหม่ช่วยลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพ ทำให้ผลิตได้มากขึ้นในเวลเดิม เช่น เครื่องจักรอัตโนมัติที่เร่งการผลิต
- จำนวนผู้ผลิต: ถ้ามีผู้ประกอบการเพิ่มในตลาด อุปทานรวมก็สูงขึ้นตาม
- การคาดการณ์ในอนาคต: ถ้าคิดว่าราคาจะขึ้น ก็อาจกักตุนไม่ขายตอนนี้ หรือถ้าคิดว่าจะลง ก็เร่งระบายสต็อก
- นโยบายรัฐบาล: เช่น ภาษี เงินอุดหนุน หรือกฎระเบียบ ถ้ารัฐให้เงินช่วยเกษตรกรปลูกข้าว อุปทานข้าวก็เพิ่ม หรือภาษีนำเข้าสูงทำให้สินค้านั้นหายากขึ้น รัฐบาลไทยมีนโยบายสนับสนุนอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า ซึ่งส่งผลต่ออุปทานของรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศ ซึ่งเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนในบริบทไทย
ดุลยภาพของตลาด: จุดที่อุปสงค์และอุปทานพบกัน
ดุลยภาพของตลาดเกิดขึ้นเมื่อปริมาณที่ต้องการซื้อเท่ากับปริมาณที่เสนอขายในราคาใดราคาหนึ่ง ตรงจุดนี้ไม่มีแรงผลักให้ราคาหรือปริมาณเปลี่ยนอีก ราคาตรงนี้คือราคาดุลยภาพ และปริมาณคือปริมาณดุลยภาพ ซึ่งเป็นจุดสมดุลที่ตลาดมุ่งไปสู่โดยธรรมชาติ
ถ้าตลาดไม่อยู่ในสมดุล ก็จะปรับตัวเอง:
- อุปทานส่วนเกิน: ราคาตลาดสูงกว่าราคาดุลยภาพ ทำให้สินค้าล้น ผู้ผลิตต้องลดราคาเพื่อขายให้หมด และตลาดกลับสู่สมดุล
- อุปสงค์ส่วนเกิน: ราคาต่ำกว่าราคาดุลยภาพ ทำให้สินค้าขาด ผู้บริโภคแย่งกันซื้อ ผู้ผลิตขึ้นราคาได้ และสมดุลกลับมา
กลไกนี้ทำงานอัตโนมัติผ่านการตัดกันของเส้นอุปสงค์และอุปทานบนกราฟ ช่วยให้ตลาดคงที่โดยไม่ต้องแทรกแซงมากนัก
ตัวอย่างและการประยุกต์ใช้ในบริบทของประเทศไทย
แนวคิดอุปสงค์และอุปทานช่วยให้เราถอดรหัสสถานการณ์เศรษฐกิจไทยได้ชัดเจนขึ้น มาดูกรณีศึกษาที่สะท้อนกลไกเหล่านี้ในชีวิตจริงกัน
กรณีศึกษาที่ 1: ตลาดผลไม้ไทย
ทุเรียนคือผลไม้ไทยที่ได้รับผลกระทบจากอุปสงค์และอุปทานอย่างเห็นได้ชัด ในฤดูที่ผลผลิตออกมามาก อุปทานพุ่งสูง ถ้าความต้องการจากตลาดส่งออกอย่างจีนยังแรง ราคาก็คงที่หรือสูง แต่ถ้าผลผลิตล้นเกินความต้องการ ราคาก็ร่วงหนัก ส่งผลกระทบต่อเกษตรกร รัฐจึงมักช่วยด้วยการส่งเสริมบริโภคในประเทศหรือหาตลาดใหม่ เพื่อรักษาสมดุลและป้องกันความเดือดร้อน
กรณีศึกษาที่ 2: อุตสาหกรรมการท่องเที่ยว
หลังโควิด อุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยพลิกผันครั้งใหญ่ เมื่อนักท่องเที่ยวต่างชาติกลับมา อุปสงค์บริการอย่างโรงแรม สายการบิน และร้านอาหารทะลัก แต่บางครั้งอุปทานปรับไม่ทันเพราะขาดแรงงานหรือธุรกิจยังฟื้นตัวไม่เต็มที่ ทำให้เกิดขาดแคลนชั่วคราวและราคาพุ่ง การฟื้นตัวนี้ไม่เพียงขับเคลื่อนเศรษฐกิจท้องถิ่น แต่ยังเป็นเป้าหมายหลักของนโยบายรัฐที่มุ่งดึงดูดนักท่องเที่ยวมากขึ้น
กรณีศึกษาที่ 3: ตลาดรถยนต์ไฟฟ้า
ตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในไทยกำลังขยายตัวรวดเร็ว ด้วยนโยบายรัฐที่ให้เงินอุดหนุนและลดภาษี ทำให้อุปสงค์พุ่ง ผู้ผลิตหลายรายเข้ามาลงทุนเพิ่มกำลังการผลิตเพื่อตอบสนอง แต่ยังมีอุปสรรคอย่างสถานีชาร์จที่ไม่เพียงพอ และความกังวลเรื่องราคาแบตเตอรี่กับอายุการใช้งาน ซึ่ง影响การตัดสินใจซื้อในระยะยาว การเติบโตนี้แสดงให้เห็นว่าอุปสงค์และอุปทานต้องสมดุลกันอย่างไรในอุตสาหกรรมใหม่
สรุป: ความเข้าใจอุปสงค์และอุปทานเพื่อการตัดสินใจที่ดีขึ้น
การรู้จักอุปสงค์ อุปทาน และปัจจัยที่เกี่ยวข้องเป็นพื้นฐานสำคัญในการถอดรหัสกลไกตลาดและเศรษฐกิจโดยรวม แนวคิดเหล่านี้ไม่ใช่แค่ทฤษฎี แต่เป็นแรงผลักที่กำหนดราคาและปริมาณสินค้าที่เราเจอทุกวัน
สำหรับผู้บริโภค มันช่วยให้ซื้อของอย่างฉลาด โดยชั่งน้ำหนักราคา รายได้ และปัจจัยอื่นๆ ผู้ผลิตใช้ประโยชน์จากมันในการวางแผนผลิต กำหนดราคา และควบคุมต้นทุนเพื่อความยั่งยืน ขณะที่รัฐบาลนำไปออกนโยบาย เช่น ควบคุมราคา ให้เงินช่วย หรือเก็บภาษี เพื่อรักษาสมดุลและกระตุ้นการเติบโต
ในยุคที่เทคโนโลยีอย่าง AI และอีคอมเมิร์ซเปลี่ยนแปลงทุกอย่าง รวมถึงห่วงโซ่อุปทานโลกที่ผันผวน การศึกษาต่อเนื่องจึงจำเป็น เพื่อปรับตัวและตัดสินใจได้อย่างมีประสิทธิภาพในทุกสถานการณ์
คำถามที่พบบ่อย (FAQs)
อุปสงค์กับอุปทานต่างกันอย่างไร และเราจะเห็นได้จากอะไรในตลาดไทย?
อุปสงค์คือความต้องการซื้อของผู้บริโภค ในขณะที่อุปทานคือความต้องการเสนอขายของผู้ผลิต ความแตกต่างนี้เห็นได้ชัดจากพฤติกรรมในตลาดไทย เช่น ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ อุปสงค์ต่อตั๋วเครื่องบินและห้องพักโรงแรมจะสูงขึ้น ในขณะที่อุปทานอาจมีจำกัด ทำให้ราคาเพิ่มขึ้น ตรงกันข้าม หากทุเรียนมีผลผลิตมากเกินไป (อุปทานสูง) แต่ความต้องการซื้อไม่เพียงพอ อุปทานส่วนเกินจะทำให้ราคาทุเรียนลดลง
ปัจจัยที่ส่งผลต่ออุปสงค์และอุปทานในประเทศไทยมีอะไรบ้าง และตัวอย่างที่ชัดเจนคืออะไร?
ปัจจัยอุปสงค์: ได้แก่ รายได้ผู้บริโภค (เช่น หากรายได้คนไทยเพิ่มขึ้น อุปสงค์ต่อสินค้าหรูหราก็อาจเพิ่มขึ้น), รสนิยมความนิยม (เช่น กระแสแฟชั่นเสื้อผ้า), ราคาสินค้าอื่นที่เกี่ยวข้อง (เช่น ราคาน้ำมันส่งผลต่ออุปสงค์รถยนต์), การคาดการณ์ (เช่น การคาดว่าราคาข้าวจะสูงขึ้นในอนาคตทำให้เกษตรกรอาจกักตุน), จำนวนประชากร (เช่น จำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นเพิ่มอุปสงค์บริการท่องเที่ยว)
ปัจจัยอุปทาน: ได้แก่ ต้นทุนการผลิต (เช่น ราคาน้ำมันสูงขึ้นส่งผลต่อต้นทุนขนส่งผัก), เทคโนโลยี (เช่น เครื่องจักรใหม่ช่วยเพิ่มผลผลิตอ้อย), จำนวนผู้ผลิต (เช่น มีร้านกาแฟเปิดใหม่มากขึ้น), การคาดการณ์ (เช่น คาดว่าราคายางพาราจะตก ผู้ผลิตอาจลดการกรีดยาง), นโยบายรัฐบาล (เช่น การลดภาษีนำเข้ารถยนต์ไฟฟ้า).
กฎของอุปสงค์และอุปทานถูกนำไปใช้ในชีวิตประจำวันของคนไทยอย่างไร?
กฎของอุปสงค์และอุปทานเป็นกลไกที่อธิบายการเปลี่ยนแปลงราคาของสินค้าและบริการที่เราพบเจอทุกวัน เช่น เมื่อราคาน้ำมันปรับตัวขึ้น คนไทยส่วนใหญ่อาจลดการเดินทางด้วยรถยนต์ส่วนตัวและหันไปใช้บริการขนส่งสาธารณะมากขึ้น (กฎของอุปสงค์) หรือเมื่อราคามะนาวแพงขึ้นในช่วงฤดูแล้ง เกษตรกรอาจเร่งปลูกมะนาวเพิ่มขึ้นเพื่อหวังกำไรที่ดีขึ้น (กฎของอุปทาน)
หากตลาดสินค้าเกษตรของไทยเกิดภาวะอุปทานส่วนเกิน (สินค้าล้นตลาด) จะเกิดอะไรขึ้น?
หากตลาดสินค้าเกษตรของไทยเกิดภาวะอุปทานส่วนเกิน เช่น ผลผลิตมังคุดล้นตลาด ราคาของมังคุดจะตกต่ำลงอย่างมาก เนื่องจากปริมาณสินค้าที่มีมากกว่าความต้องการซื้อของผู้บริโภค เพื่อระบายสินค้า ผู้ผลิตหรือพ่อค้าจำเป็นต้องลดราคาลง ซึ่งอาจส่งผลให้เกษตรกรขาดทุน รัฐบาลอาจต้องเข้ามาแทรกแซงด้วยการรับซื้อหรือหาตลาดส่งออกใหม่เพื่อพยุงราคา
รัฐบาลไทยสามารถใช้นโยบายใดบ้างเพื่อปรับสมดุลของอุปสงค์และอุปทานในตลาดที่สำคัญ?
รัฐบาลไทยสามารถใช้นโยบายได้หลายรูปแบบ:
- **ด้านอุปสงค์:** การกระตุ้นการใช้จ่ายด้วยมาตรการลดหย่อนภาษี, โครงการช้อปดีมีคืน, หรือการให้เงินอุดหนุนแก่ผู้บริโภคโดยตรง
- **ด้านอุปทาน:** การให้เงินอุดหนุนแก่ผู้ผลิต (เช่น เกษตรกร), การลดภาษีนำเข้าวัตถุดิบ, การส่งเสริมเทคโนโลยีการผลิต, หรือการควบคุมปริมาณการผลิต/นำเข้า/ส่งออก (เช่น โควตาสินค้าเกษตร)
การคาดการณ์อนาคตของผู้บริโภคและผู้ผลิตมีผลต่ออุปสงค์และอุปทานของสินค้าไทยอย่างไร?
การคาดการณ์มีผลอย่างมาก:
- **ผู้บริโภค:** หากคาดว่าราคาน้ำมันจะขึ้นในสัปดาห์หน้า ก็จะรีบเติมน้ำมันวันนี้ (เพิ่มอุปสงค์ปัจจุบัน) หรือหากคาดว่าเศรษฐกิจจะดีขึ้น ก็อาจตัดสินใจซื้อรถยนต์ใหม่
- **ผู้ผลิต:** หากคาดว่าราคาข้าวจะสูงขึ้นในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า เกษตรกรอาจจะชะลอการขายในปัจจุบันเพื่อรอราคาที่ดีขึ้น (ลดอุปทานปัจจุบัน) หรือหากคาดว่าความต้องการสินค้าแฟชั่นบางอย่างจะลดลง ก็จะลดการผลิตลง
เทคโนโลยีใหม่ๆ เช่น E-commerce หรือ AI มีผลต่อกลไกอุปสงค์อุปทานในประเทศไทยอย่างไร?
เทคโนโลยีเหล่านี้เปลี่ยนแปลงกลไกตลาดอย่างมาก:
- **E-commerce:** เพิ่มช่องทางการเข้าถึงสินค้า ทำให้ผู้บริโภคเข้าถึงสินค้าได้ง่ายขึ้น (เพิ่มอุปสงค์) และผู้ผลิตรายย่อยสามารถเข้าสู่ตลาดได้ง่ายขึ้น (เพิ่มอุปทาน)
- **AI:** ช่วยให้ผู้ผลิตคาดการณ์อุปสงค์ได้แม่นยำขึ้น จัดการสต็อกได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดต้นทุน และเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต (เพิ่มอุปทาน)
การเปลี่ยนแปลงของค่าเงินบาทมีผลต่ออุปสงค์และอุปทานของการนำเข้าและส่งออกของไทยหรือไม่?
มีผลอย่างแน่นอน:
- **เงินบาทแข็งค่า:** สินค้านำเข้าถูกลง (เพิ่มอุปสงค์นำเข้า) และสินค้าส่งออกแพงขึ้นในสายตาต่างชาติ (ลดอุปสงค์ส่งออก) ทำให้ผู้ผลิตในประเทศที่พึ่งพาการส่งออกอาจลดกำลังการผลิต (ลดอุปทานส่งออก)
- **เงินบาทอ่อนค่า:** สินค้านำเข้าแพงขึ้น (ลดอุปสงค์นำเข้า) และสินค้าส่งออกถูกลง (เพิ่มอุปสงค์ส่งออก) ซึ่งเป็นผลดีต่อผู้ส่งออกไทย
ความเข้าใจเรื่องอุปสงค์และอุปทานช่วยในการตัดสินใจลงทุนในตลาดหุ้นไทยได้อย่างไร?
นักลงทุนสามารถใช้หลักการนี้วิเคราะห์แนวโน้มของอุตสาหกรรมและบริษัทต่างๆ หากอุตสาหกรรมใดมีแนวโน้มที่อุปสงค์สินค้าและบริการจะเพิ่มขึ้น (เช่น การท่องเที่ยวฟื้นตัว) หุ้นของบริษัทในอุตสาหกรรมนั้นก็มีโอกาสเติบโต ในทางกลับกัน หากมีปัจจัยที่ทำให้อุปทานเพิ่มขึ้นมากเกินไป หรืออุปสงค์ลดลง อาจส่งผลกระทบเชิงลบต่อผลประกอบการของบริษัทและราคาหุ้น
อุปสงค์และอุปทานที่ผิดปกติ เช่น การกักตุนสินค้า หรือการปั่นราคา มีผลกระทบต่อสังคมไทยอย่างไร?
การกระทำเหล่านี้สร้างความเสียหายต่อสังคม:
- **การกักตุนสินค้า:** ทำให้เกิดภาวะสินค้าขาดแคลนเทียม ดันราคาให้สูงขึ้น ผู้บริโภคเดือดร้อน และอาจนำไปสู่ความไม่สงบในสังคม
- **การปั่นราคา:** เป็นการบิดเบือนกลไกตลาด ทำให้ราคาสินค้าไม่สะท้อนต้นทุนที่แท้จริง เอารัดเอาเปรียบผู้บริโภค และทำลายความเชื่อมั่นในระบบเศรษฐกิจ รัฐบาลไทยมีกฎหมายควบคุมการกระทำเหล่านี้เพื่อปกป้องผู้บริโภคและรักษาสมดุลของตลาด