ประเภทกองทุนรวม: คู่มือครบวงจรสำหรับนักลงทุนไทยทุกระดับ
บทนำ: ทำไมต้องรู้จัก “ประเภทกองทุนรวม” ก่อนลงทุน?
โลกการลงทุนในปัจจุบันเต็มไปด้วยตัวเลือกที่หลากหลายและท้าทาย โดยเฉพาะสำหรับนักลงทุนไทยไม่ว่าจะเป็นมือใหม่ที่กำลังหัดเริ่มต้นหรือผู้ที่มีประสบการณ์แล้วซึ่งมองหาวิธีกระจายพลังงานเพื่อลดความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสทำกำไร กองทุนรวมถือเป็นเครื่องมือที่ได้รับความนิยมสูงเพราะช่วยให้เข้าถึงการลงทุนได้ง่ายขึ้น การรู้จักประเภทต่างๆ ของกองทุนรวมจึงกลายเป็นก้าวแรกที่สำคัญในการตัดสินใจอย่างชาญฉลาดและตรงกับแผนการเงินส่วนตัวของคุณ

ในบทความนี้ เราจะพาคุณดำดิ่งสู่รายละเอียดทุกส่วนของประเภทกองทุนรวม ตั้งแต่หลักการพื้นฐานไปจนถึงข้อมูลเชิงลึก รวมถึงเคล็ดลับเฉพาะสำหรับตลาดไทย เพื่อช่วยให้คุณค้นหากองทุนที่ลงตัวกับตัวเองได้อย่างมั่นใจ
กองทุนรวมคืออะไร? ทำความเข้าใจก่อนไปต่อ
กองทุนรวมคือกระบวนการที่นักลงทุนรายย่อยหลายคนนำเงินมาบรรจบกันเพื่อสร้างกองทุนขนาดใหญ่ ซึ่งบริษัทจัดการกองทุนหรือบลจ. จะเป็นผู้ดูแลและบริหารจัดการ โดยอาศัยผู้จัดการกองทุนซึ่งเป็นมืออาชีพคัดเลือกสินทรัพย์ที่เหมาะสม เช่น หุ้น พันธบัตร เงินฝาก หรือทางเลือกอื่นๆ ตามแผนที่วางไว้ล่วงหน้า

ข้อดีหลักคือช่วยกระจายความเสี่ยงให้เงินของคุณไม่ตกอยู่ในจุดเดียว มีผู้เชี่ยวชาญคอยดูแล และเปิดโอกาสเข้าถึงสินทรัพย์ที่บุคคลทั่วไปอาจทำได้ยาก สรุปแล้ว มันเหมือนการรวมกำลังกันเพื่อให้การลงทุนในตลาดทุนมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยเฉพาะในบริบทของนักลงทุนไทยที่มองหาความสะดวกและผลตอบแทนที่ยั่งยืน
เจาะลึกประเภทกองทุนรวมตามเกณฑ์หลัก
กองทุนรวมแบ่งออกเป็นหลายกลุ่มตามเกณฑ์ที่แตกต่าง เพื่อให้ตรงกับความต้องการและระดับความเสี่ยงของแต่ละคน การเข้าใจการแบ่งเหล่านี้จะช่วยให้คุณมองเห็นภาพรวมชัดเจนและเลือกได้ตรงใจมากขึ้น

1. กองทุนรวมตามประเภทสินทรัพย์ที่ลงทุน
การแบ่งประเภทนี้เป็นรูปแบบที่พบบ่อยที่สุด โดยดูจากสินทรัพย์หลักที่กองทุนนำเงินไปลงทุน:
-
กองทุนตราสารหนี้:
กองทุนประเภทนี้มุ่งลงทุนในตราสารหนี้ต่างๆ เช่น พันธบัตรรัฐบาล หุ้นกู้เอกชน หรือเงินฝากที่มีกำหนดเวลา เป้าหมายหลักคือสร้างรายได้ที่สม่ำเสมอพร้อมรักษาเงินต้นให้ปลอดภัย
จุดเด่น: เสี่ยงน้อยกว่ากองทุนหุ้น เหมาะกับคนที่ต้องการความมั่นคงและผลตอบแทนไม่หวือหวา อย่างเช่นการเก็บเงินไว้ใช้ในช่วงสั้นหรือกลาง
-
กองทุนตลาดเงิน:
ลงทุนในตราสารหนี้ระยะสั้นคุณภาพดีและเปลี่ยนเป็นเงินสดได้ง่าย เช่น ตั๋วเงินคลัง พันธบัตรรัฐระยะสั้น หรือเงินฝากธนาคาร
จุดเด่น: เสี่ยงต่ำสุด ให้ผลตอบแทนใกล้เคียงดอกเบี้ยเงินฝาก เหมาะสำหรับเก็บเงินชั่วคราวไม่เกินปี หรือเป็นเงินสำรองฉุกเฉิน
-
กองทุนหุ้น:
เน้นลงทุนในหุ้นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เพื่อหวังกำไรจากราคาหุ้นที่ขึ้นและเงินปันผล
จุดเด่น: โอกาสทำกำไรสูงในระยะยาว แต่เสี่ยงสูงตามไปด้วย เหมาะกับคนที่ยอมรับความผันผวนและลงทุนนานกว่า 3-5 ปี
-
กองทุนผสม:
รวมสินทรัพย์หลายประเภท เช่น หุ้น ตราสารหนี้ และอื่นๆ ด้วยสัดส่วนที่ปรับได้ตามนโยบายกองทุน
จุดเด่น: ช่วยสมดุลความเสี่ยงระหว่างโอกาสเติบโตจากหุ้นและความมั่นคงจากตราสารหนี้ เหมาะกับคนที่อยากได้ผลตอบแทนระดับกลางและเสี่ยงปานกลาง
-
กองทุนรวมที่ลงทุนในต่างประเทศ:
นำเงินไปลงทุนในหลักทรัพย์ต่างประเทศ ไม่ว่าจะหุ้น ตราสารหนี้ หรือทางเลือกอื่นในตลาดนอก
จุดเด่น: ลดความเสี่ยงจากตลาดในประเทศ และเปิดโอกาสเข้าถึงอุตสาหกรรมหรือพื้นที่ที่มีการเติบโตสูง เช่น เทคโนโลยีในสหรัฐหรือตลาดเอเชียอื่นๆ
2. กองทุนรวมตามนโยบายการลงทุน
นอกจากสินทรัพย์แล้ว กองทุนรวมยังแบ่งตามกลยุทธ์ที่ผู้จัดการใช้ในการบริหาร เพื่อให้เหมาะกับสไตล์การลงทุนที่แตกต่าง:
-
กองทุนรวมที่เน้นการลงทุนแบบเชิงรุก:
ผู้จัดการกองทุนอาศัยความเชี่ยวชาญในการวิเคราะห์และเลือกหลักทรัพย์ที่คาดว่าจะทำผลตอบแทนดีกว่าตลาดหรือดัชนีหลัก โดยมักปรับพอร์ตบ่อยเพื่อจับโอกาส
-
กองทุนรวมที่เน้นการลงทุนแบบเชิงรับ หรือกองทุนรวมดัชนี:
กองทุนเหล่านี้เลียนแบบผลตอบแทนของดัชนี เช่น SET50 โดยไม่พยายามเอาชนะตลาด แต่เน้นความสอดคล้องและต้นทุนต่ำ
-
กองทุนรวม ETF:
เป็นกองทุนดัชนีที่ซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ได้เหมือนหุ้น สภาพคล่องสูงและค่าบริหารต่ำ ทำให้เหมาะกับนักลงทุนที่ชอบความยืดหยุ่น
ประเภทกองทุนรวมเพื่อสิทธิประโยชน์ทางภาษีในประเทศไทย
นักลงทุนไทยหลายคนเลือกกองทุนรวมบางประเภทเพราะช่วยลดหย่อนภาษีได้ ซึ่งเป็นแรงผลักดันให้การวางแผนการเงินระยะยาวมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น โดยเฉพาะ RMF และ SSF ที่ออกแบบมาเพื่อการออม
กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF – Retirement Mutual Fund)
RMF เป็นกองทุนที่ส่งเสริมการออมเงินสำหรับวัยเกษียณ ด้วยเงื่อนไขชัดเจนทั้งการลงทุนและสิทธิประโยชน์ทางภาษี
- วัตถุประสงค์: สนับสนุนการออมยาวๆ เพื่อใช้หลังเกษียณ
- เงื่อนไขการลงทุน:
- ต้องลงทุนต่อเนื่องอย่างน้อยปีเว้นปี
- ลงทุนขั้นต่ำ 5,000 บาท หรือ 3% ของเงินได้พึงประเมิน แล้วแต่จำนวนใดน้อยกว่า
- ไม่หยุดซื้อหน่วยเกิน 1 ปีติด
- สิทธิประโยชน์ทางภาษี: ลดหย่อนตามจริง สูงสุด 30% ของเงินได้พึงประเมินที่เสียภาษี รวมกับกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ/กบข. หรือเบี้ยประกันบำนาญ ไม่เกิน 500,000 บาท
- ระยะเวลาการถือครอง: ถืออย่างน้อย 5 ปีจากวันที่ซื้อครั้งแรก และขายได้เมื่ออายุ 55 ปีขึ้นไป
สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติม ลองดูจากเว็บกรมสรรพากร: กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF)
กองทุนรวมเพื่อการออม (SSF – Super Savings Fund)
SSF คล้าย RMF ในแง่การออมระยะยาว แต่ยืดหยุ่นกว่าในบางส่วน เพื่อให้เหมาะกับนักลงทุนที่ต้องการความคล่องตัว
- วัตถุประสงค์: ส่งเสริมการออมยาวและการลงทุนในตลาดทุนไทย
- เงื่อนไขการลงทุน: ไม่มีขั้นต่ำ และไม่บังคับซื้อทุกปี
- สิทธิประโยชน์ทางภาษี: ลดหย่อนตามจริง สูงสุด 30% ของเงินได้พึงประเมิน รวมกับ RMF, กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ/กบข., เบี้ยประกันบำนาญ และอื่นๆ ไม่เกิน 500,000 บาท
- ระยะเวลาการถือครอง: ถืออย่างน้อย 10 ปีจากวันที่ซื้อ
ข้อมูล SSF เพิ่มเติมจากตลาดหลักทรัพย์: กองทุนรวมเพื่อการออม (SSF)
RMF vs SSF: เลือกแบบไหนให้คุ้มค่าที่สุด?
การตัดสินใจระหว่าง RMF กับ SSF ขึ้นกับเป้าหมายและสถานการณ์ส่วนตัวของคุณ ตารางนี้ช่วยสรุปให้เห็นภาพชัด:
คุณสมบัติ | กองทุน RMF | กองทุน SSF |
---|---|---|
วัตถุประสงค์ | ออมเงินเพื่อเกษียณ | ออมเงินระยะยาว |
เงื่อนไขซื้อขั้นต่ำ | มี (3% ของเงินได้หรือ 5,000 บาท แล้วแต่จำนวนใดจะน้อยกว่า) และต้องซื้อต่อเนื่องปีเว้นปี | ไม่มีขั้นต่ำ ไม่ต้องซื้อต่อเนื่อง |
ระยะเวลาถือครอง | ถือครอง 5 ปี นับจากวันซื้อครั้งแรก และไถ่ถอนได้เมื่ออายุ 55 ปีบริบูรณ์ | ถือครอง 10 ปี นับจากวันซื้อ |
สิทธิลดหย่อนภาษีสูงสุด | 30% ของเงินได้ แต่ไม่เกิน 500,000 บาท (รวมกับ RMF, SSF, กบข/สำรองเลี้ยงชีพ, ประกันบำนาญ) | 30% ของเงินได้ แต่ไม่เกิน 200,000 บาท และรวมกับ RMF, กบข/สำรองเลี้ยงชีพ, ประกันบำนาญ ต้องไม่เกิน 500,000 บาท |
คำแนะนำ:
- ถ้าคุณโฟกัสแผนเกษียณและมั่นใจในวินัยลงทุนต่อเนื่อง RMF อาจเหมาะกว่า
- ถ้าต้องการความยืดหยุ่นในการลงทุนแต่ละปีและยังไม่ชัวร์เรื่องอายุเกษียณ SSF จะตอบโจทย์
- หลายคนเลือกทั้งคู่เพื่อใช้สิทธิลดหย่อนภาษีเต็มจำนวนตามกฎหมาย โดยกระจายให้ครบ 500,000 บาท
การประเมินความเสี่ยงและผลตอบแทนของแต่ละประเภทกองทุน
ไม่มีลงทุนไหนปราศจากความเสี่ยง แม้แต่กองทุนรวม การรู้ระดับเสี่ยงของแต่ละประเภทจึงจำเป็นมากในการเลือกทาง
ก.ล.ต. กำหนดระดับความเสี่ยงไว้ 8 ระดับ เพื่อช่วยนักลงทุนประเมินว่าตัวเองรับไหวแค่ไหน ซึ่งทำให้การตัดสินใจง่ายขึ้น โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาถึงผลตอบแทนที่อาจตามมา
ระดับความเสี่ยง | ประเภทสินทรัพย์หลัก | ลักษณะกองทุน | ความผันผวนของผลตอบแทน |
---|---|---|---|
ระดับ 1 | พันธบัตรรัฐบาลระยะสั้น | กองทุนตลาดเงิน | ต่ำมาก |
ระดับ 2 | ตราสารหนี้ภาครัฐ/เอกชน | กองทุนตราสารหนี้ระยะสั้น | ต่ำ |
ระดับ 3 | ตราสารหนี้ภาครัฐ/เอกชน | กองทุนตราสารหนี้ระยะยาว | ค่อนข้างต่ำ |
ระดับ 4 | ตราสารหนี้/หุ้น | กองทุนผสมที่มีการลงทุนในหุ้นไม่เกิน 25% | ปานกลางค่อนข้างต่ำ |
ระดับ 5 | ตราสารหนี้/หุ้น | กองทุนผสมที่มีการลงทุนในหุ้น 25%-50% | ปานกลาง |
ระดับ 6 | หุ้น/สินทรัพย์ทางเลือก | กองทุนผสมที่มีการลงทุนในหุ้น 50%-80% หรือกองทุนหมวดอุตสาหกรรม/กลุ่ม | ปานกลางค่อนข้างสูง |
ระดับ 7 | หุ้น | กองทุนหุ้นทั่วไป | สูง |
ระดับ 8 | สินทรัพย์ทางเลือกเฉพาะเจาะจง | กองทุนรวมที่ลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์, ทองคำ, อสังหาริมทรัพย์, Private Equity | สูงมาก |
การประเมินความเสี่ยงที่ยอมรับได้: ลองถามตัวเองว่าถ้ากองทุนขาดทุน คุณจะรับมือยังไง ผู้แนะนำการลงทุนสามารถช่วยทดสอบและแนะนำระดับที่เหมาะกับคุณได้ โดยทั่วไป เสี่ยงสูงมักให้ผลตอบแทนสูง แต่ก็เสี่ยงขาดทุนมากตามไปด้วย ดังนั้นต้องหาสมดุลระหว่างเสี่ยงที่ยอมได้กับกำไรที่หวัง
เลือกกองทุนรวมอย่างไรให้เหมาะกับคุณ? (สำหรับนักลงทุนไทย)
การเลือกกองทุนไม่ใช่แค่งานหาที่ดีที่สุด แต่คือการหาที่เหมาะกับตัวเองมากที่สุด โดยเฉพาะในตลาดทุนไทยที่เต็มไปด้วยโอกาสเฉพาะ
1. กำหนดเป้าหมายการลงทุนและระยะเวลา
เริ่มจากถามตัวเองว่าลงทุนเพื่ออะไรและมีเวลานานเท่าไหน เพื่อให้แผนชัดเจน
- เป้าหมายระยะสั้น (1-3 ปี): เช่น เงินดาวน์บ้านหรือรถ ควรเลือกกองทุนเสี่ยงต่ำอย่างตลาดเงินหรือตราสารหนี้ระยะสั้น เพื่อรักษาเงินต้น
- เป้าหมายระยะกลาง (3-7 ปี): เช่น ค่าเล่าเรียนลูก อาจลองกองทุนผสมหรือตราสารหนี้ระยะยาว เพื่อสมดุลความเสี่ยง
- เป้าหมายระยะยาว (7 ปีขึ้นไป): เช่น แผนเกษียณ เน้นกองทุนหุ้นหรือ RMF/SSF เพื่อให้เงินงอกเงยจากเวลายาวนาน
2. ประเมินความเสี่ยงที่ยอมรับได้
ใช้แบบทดสอบจากธนาคารหรือบลจ. เพื่อดูว่าคุณเป็นนักลงทุนแบบอนุรักษ์ ปานกลาง หรือเสี่ยงสูง แล้วเลือกกองทุนที่ตรงกัน เช่น ถ้าคุณกลัวขาดทุนมาก เริ่มจากระดับเสี่ยงต่ำก่อน
3. ศึกษาข้อมูลและผลงานของกองทุน
ก่อนลงทุนจริง ต้องขุดข้อมูลให้ลึก:
- หนังสือชี้ชวนและ Fund Fact Sheet: บอกนโยบาย เสี่ยง ค่าใช้จ่าย และผลย้อนหลัง
- เว็บไซต์ข้อมูลกองทุน: เช่น Morningstar Thailand หรือ Finnomena ที่มีวิเคราะห์ง่ายๆ สำหรับมือใหม่
- ผลงานย้อนหลัง: ดูแนวโน้ม 3-5 ปี เพื่อประเมินฝีมือผู้จัดการ แม้ไม่รับประกันอนาคตแต่ช่วยให้มั่นใจ
4. กระจายความเสี่ยงอย่างเหมาะสม
อย่าลงทุนกองเดียวหรือคล้ายกันทั้งหมด แบ่งเงินไปหลายประเภท เช่น ผสมหุ้น ตราสารหนี้ และต่างประเทศ เพื่อให้พอร์ตไม่ผันผวนมาก เช่น กรณีตลาดหุ้นไทยตก กองทุนต่างประเทศอาจช่วยชดเชย
5. พิจารณาค่าธรรมเนียม
ค่าธรรมเนียมกินกำไรสุทธิของคุณ ต้องเปรียบเทียบระหว่างกองทุนใกล้เคียง เช่น Management Fee, Front-end Fee, Back-end Fee เพื่อเลือกที่คุ้มค่า
6. ช่องทางการลงทุนในประเทศไทย
ไทยมีช่องทางลงทุนกองทุนสะดวกหลายแบบ:
- ธนาคารพาณิชย์: อย่าง KBank, SCB, Krungthai ซื้อผ่านสาขา แอป หรือเว็บ
- บลจ. โดยตรง: ซื้อตรงจากผู้จัดการกองทุนนั้นๆ
- แพลตฟอร์มออนไลน์: เช่น Finnomena, InnovestX, SETTRADE ที่รวมกองทุนหลายเจ้าจำหน่าย เปรียบเทียบง่าย
ข้อมูลช่องทางและการคุ้มครองดูจาก ก.ล.ต.: สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.)
กองทุนรวมประเภทใหม่ที่น่าสนใจในตลาดไทย
ตลาดกองทุนไทยพัฒนาไม่หยุด เพื่อตามเทรนด์และความต้องการที่เปลี่ยนไป ทำให้มีกองทุนใหม่ๆ ที่น่าลองสำหรับนักลงทุน
กองทุน ESG และ Sustainable Investment
ESG หมายถึงการลงทุนที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล ร่วมกับผลตอบแทนทางการเงิน
- แนวโน้มในไทย: กองทุน ESG กำลังมาแรงเพราะนักลงทุนตื่นตัวเรื่องยั่งยืน บลจ. หลายแห่งออกกองทุนใหม่เพื่อให้คนเลือกสร้างกำไรพร้อมช่วยสังคม เช่น ลงทุนในบริษัทที่ลดคาร์บอนหรือส่งเสริมความเท่าเทียม
กองทุนรวมที่ลงทุนในสินทรัพย์ทางเลือก
นอกจากหุ้นและตราสารหนี้ กองทุนใหม่ๆ เปิดทางเลือกอื่นเพื่อกระจายและเพิ่มโอกาส
- กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน: ลงทุนในโครงการใหญ่ เช่น ไฟฟ้า ประปา โทรคมนาคม ที่ให้รายได้สม่ำเสมอและเสี่ยงต่ำ
- กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ (REITs): ลงทุนอสังหาฯ ที่สร้างรายได้ เช่น สำนักงาน ห้าง โรงแรม และแจกปันผลสม่ำเสมอ
ทางเลือกเหล่านี้ช่วยให้พอร์ตนักลงทุนไทยหลากหลายขึ้น โดยเฉพาะในยุคที่เศรษฐกิจเปลี่ยนแปลงรวดเร็ว
สรุป: เส้นทางสู่การลงทุนกองทุนรวมที่ประสบความสำเร็จ
การเข้าใจประเภทกองทุนรวมคือฐานรากของการลงทุนที่ยั่งยืน ไม่ว่าคุณจะมือใหม่หรือเก่าแก่ การเลือกที่ตรงเป้าหมาย เสี่ยงที่รับได้ และเวลาที่มี คือกุญแจสู่ความสำเร็จ
จำไว้ว่าต้องศึกษาลึก คิดถึงค่าธรรมเนียม และกระจายเสี่ยงให้ดี การตามเทรนด์ใหม่ๆ อย่าง ESG หรือสินทรัพย์ทางเลือก จะช่วยอัพเดตกลยุทธ์และเพิ่มโอกาสกำไรในอนาคต
การลงทุนคือการเดินทางที่ต้องเรียนรู้ตลอดทาง ขอให้ทุกคนในไทยสร้างความมั่งคั่งได้สำเร็จผ่านกองทุนรวม
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับประเภทกองทุนรวม (FAQ)
1. กองทุนรวมคืออะไร และมีกี่ประเภทหลักที่นักลงทุนไทยควรรู้?
กองทุนรวมคือการรวมเงินจากนักลงทุนหลายรายเพื่อนำไปลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆ โดยผู้จัดการกองทุนมืออาชีพคอยดูแล ประเภทหลักสำหรับนักลงทุนไทย ได้แก่:
- ตามสินทรัพย์: กองทุนตราสารหนี้ กองทุนตลาดเงิน กองทุนหุ้น กองทุนผสม และกองทุนรวมที่ลงทุนในต่างประเทศ
- ตามนโยบาย: กองทุนเชิงรุก กองทุนเชิงรับ (ดัชนี) และ ETF
- เพื่อสิทธิประโยชน์ทางภาษี: RMF และ SSF
2. นักลงทุนมือใหม่ควรเริ่มต้นลงทุนในกองทุนรวมประเภทไหนก่อนดี?
มือใหม่ที่ยังรับเสี่ยงน้อย ควรเริ่มจากกองทุนเสี่ยงต่ำถึงปานกลาง เช่น กองทุนตลาดเงินหรือกองทุนตราสารหนี้ เพื่อทำความคุ้นเคยและดูการทำงานของกองทุน เมื่อมั่นใจแล้วค่อยขยับไปกองทุนผสมหรือหุ้นทีละสเต็ป
3. กองทุน RMF และ SSF แตกต่างกันอย่างไร และควรเลือกแบบไหนเพื่อลดหย่อนภาษีสูงสุด?
RMF และ SSF ลดหย่อนภาษีได้ทั้งคู่ แต่เงื่อนไขต่างกัน:
- RMF: สำหรับออมเกษียณ ต้องลงทุนต่อเนื่องปีเว้นปี ถือถึงอายุ 55 ปีและอย่างน้อย 5 ปี
- SSF: สำหรับออมยาว ไม่ต้องต่อเนื่อง ถือ 10 ปี
เลือกตามเป้าหมายและวินัย ถ้าอยากลดหย่อนเต็ม ลงทุนทั้งคู่ให้ครบวงเงินรวม 500,000 บาทตามกฎหมาย
4. การลงทุนในกองทุนรวมที่ลงทุนในต่างประเทศ มีข้อดีและข้อควรระวังอะไรบ้างสำหรับคนไทย?
ข้อดี:
- กระจายเสี่ยงจากตลาดไทย
- เข้าถึงอุตสาหกรรมและพื้นที่เติบโตสูง
- โอกาสผลตอบแทนดีในยาว
ข้อควรระวัง:
- เสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน
- เสี่ยงการเมืองและเศรษฐกิจต่างประเทศ
- ค่าธรรมเนียมอาจสูงกว่า
- ข้อมูลเข้าถึงยาก
5. จะประเมินความเสี่ยงของกองทุนรวมแต่ละประเภทได้อย่างไร และควรเลือกกองทุนที่มีระดับความเสี่ยงเท่าไหร่?
ประเมินจากระดับ 1-8 ที่ ก.ล.ต. กำหนด ใน Fact Sheet ของกองทุน ระดับสูงให้ผลตอบแทนสูงแต่ผันผวนมาก
เลือกตามความเสี่ยงที่คุณรับได้ จากแบบทดสอบในสถาบันการเงินต่างๆ
6. มีค่าธรรมเนียมอะไรบ้างที่ต้องพิจารณาเมื่อลงทุนในกองทุนรวมในประเทศไทย?
ค่าหลักที่ต้องดู:
- ค่าธรรมเนียมการจัดการ: ค่า admin รายปี
- ค่าธรรมเนียมการซื้อ: ค่าเมื่อซื้อหน่วย
- ค่าธรรมเนียมการขายคืน: ค่าเมื่อขาย (บางกองไม่มีหรือมีเงื่อนไข)
- ค่าธรรมเนียมผู้ดูแลผลประโยชน์: ค่าดูแลทรัพย์
- อื่นๆ: เช่น ค่าสับเปลี่ยน
7. กองทุนรวมประเภทไหนที่เหมาะกับการวางแผนเกษียณอายุของคนไทย?
สำหรับแผนเกษียณ คนไทยมักเลือก:
- RMF: ออกแบบสำหรับเกษียณ ลดภาษี
- SSF: ออมยาว ลดภาษี
- กองทุนหุ้นระยะยาว: เติบโตเงินจากเวลานาน
- กองทุนผสม: สมดุลเติบโตและมั่นคง
8. หากต้องการสับเปลี่ยนกองทุน สามารถทำได้อย่างไร และมีค่าใช้จ่ายหรือไม่?
สับเปลี่ยนคือขายกองหนึ่งแล้วซื้ออีกกองในบลจ. เดียวกัน หรือบางแพลตฟอร์มข้ามบลจ.
วิธี: ผ่านแอปธนาคาร/บลจ./แพลตฟอร์ม
ค่าใช้จ่าย: อาจมี Switching Fee ตรวจเงื่อนไขกองทุนก่อน บางแห่งฟรี
9. กองทุนรวม ESG หรือกองทุนรวมที่เน้นความยั่งยืนในประเทศไทยมีแนวโน้มเป็นอย่างไร?
กองทุน ESG ในไทยเติบโตต่อเนื่อง ได้รับความสนใจจากรายย่อยและสถาบัน ความตระหนักเรื่องสิ่งแวดล้อม สังคม ธรรมาภิบาล ทำให้บลจ. ออกผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เพื่อตามกระแสยั่งยืนทั่วโลก
10. ควรติดตามข้อมูลและผลงานของกองทุนรวมจากแหล่งใดที่น่าเชื่อถือในประเทศไทย?
แหล่งน่าเชื่อถือ:
- ก.ล.ต.: ข้อมูลกองทุนที่อนุมัติและคู่มือผู้ลงทุน
- เว็บบลจ.: Fact Sheet, ชี้ชวน, รายงานผล
- SET: ข้อมูลตลาดและกองทุน
- แพลตฟอร์มออนไลน์: Finnomena, InnovestX วิเคราะห์จากผู้เชี่ยวชาญ
- Morningstar Thailand: ข้อมูลอิสระและอันดับกองทุน