amazon คือ ธุรกิจ อะไร: สู่มหาอำนาจเทคโนโลยีระดับโลก

กำเนิด Amazon: จากโรงรถสู่มหาอำนาจเทคโนโลยีระดับโลก

หากเราพูดถึงบริษัทที่ปฏิวัติวงการค้าปลีกและเทคโนโลยี คงหนีไม่พ้นชื่อของ Amazon ชื่อนี้ไม่ได้เป็นเพียงแค่แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซยักษ์ใหญ่ แต่ยังเป็นอาณาจักรธุรกิจที่แผ่ขยายอิทธิพลไปทั่วทุกมุมโลก จากจุดเริ่มต้นเล็ก ๆ ในโรงรถ สู่หนึ่งในบริษัทที่มีมูลค่าสูงสุดและมีพนักงานนับล้านคนทั่วโลก คุณเคยสงสัยหรือไม่ว่า Amazon เริ่มต้นขึ้นมาได้อย่างไร และปัจจุบัน Amazon คือ ธุรกิจ อะไรกันแน่?

เรื่องราวของ Amazon เริ่มต้นขึ้นในปี 1994 โดย เจฟฟ์ เบซอส (Jeff Bezos) ผู้ที่มีวิสัยทัศน์กว้างไกล เขาเริ่มต้นธุรกิจนี้ด้วยเงินทุนราว 10 ล้านบาท ซึ่งเป็นเงินเก็บเพื่อวัยเกษียณจากพ่อแม่ของเขาเอง เป้าหมายแรกของเบซอสไม่ใช่การสร้างอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่ในทันที แต่เป็นการสร้างแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซสำหรับขายหนังสือที่ชื่อว่า amazon.com แนวคิดนี้เกิดขึ้นจากความเชื่อที่ว่า อินเทอร์เน็ตจะเข้ามาเปลี่ยนพฤติกรรมการซื้อขายสินค้าในอนาคตอันใกล้ และหนังสือก็เป็นสินค้าที่เหมาะสมที่สุดในการเริ่มต้น เพราะมีจำนวนมากและไม่จำเป็นต้องสัมผัสก่อนซื้อ

สำนักงานใหญ่แห่งแรกของ Amazon ก็คือโรงรถที่บ้านของเบซอสในเมือง ซีแอตเทิล สหรัฐอเมริกา ที่นี่คือจุดกำเนิดของนวัตกรรมที่เปลี่ยนแปลงโลก การตั้งชื่อบริษัทว่า Amazon นั้นได้รับแรงบันดาลใจมาจากชื่อ แม่น้ำอเมซอน ที่ยาวที่สุดและมีปริมาณน้ำมากที่สุดในโลก ซึ่งสะท้อนถึงความทะเยอทะยานของเบซอสที่จะสร้างร้านค้าออนไลน์ที่มีสินค้ามากที่สุดในโลกเช่นกัน

โรงรถสู่การเริ่มต้นของ Amazon

จากแพลตฟอร์มขายหนังสือ Amazon ได้พัฒนาอย่างรวดเร็วเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคที่หลากหลาย ด้วยวิสัยทัศน์ที่จะเป็นร้านค้าที่ “ขายทุกอย่างตั้งแต่ A ถึง Z” สัญลักษณ์รอยยิ้มใต้โลโก้ที่เชื่อมโยงตัวอักษร A ไปยัง Z จึงไม่ได้เป็นเพียงแค่ดีไซน์ที่น่าจดจำ แต่ยังเป็นคำมั่นสัญญาถึงความครอบคลุมของสินค้าและบริการ ปัจจุบัน Amazon ได้ขยายกิจการออกไปอย่างกว้างขวาง ไม่ว่าจะเป็น:

  • แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ (Amazon.com, Zappos)
  • เทคโนโลยี AI และอุปกรณ์อัจฉริยะ (Echo, Alexa)
  • อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์สำหรับอ่านและรับชม (Kindle, Fire)
  • แพลตฟอร์มออนไลน์สำหรับสตรีมมิ่งและฟังหนังสือ (Twitch, Audible)
  • ธุรกิจความบันเทิงครบวงจร (Amazon Prime Video, Amazon Studios, Amazon Music)
  • เว็บไซต์รีวิวและฐานข้อมูลภาพยนตร์ (Goodreads, IMDB)
ประเภทธุรกิจ บริการ
อีคอมเมิร์ซ Amazon.com, Zappos
AI & อุปกรณ์อัจฉริยะ Echo, Alexa
อิเล็กทรอนิกส์ Kindle, Fire

ด้วยการขยายตัวอย่างไม่หยุดยั้งนี้ Amazon จึงไม่ใช่แค่บริษัทอีคอมเมิร์ซอีกต่อไป แต่เป็นหนึ่งในบริษัทเทคโนโลยีและค้าปลีกที่มีอิทธิพลมากที่สุดในโลก มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมการบริโภคระดับสากล ปัจจุบัน Amazon มีพนักงานมากกว่า 1 ล้านคนทั่วโลก และสำนักงานใหญ่ในซีแอตเทิลก็ครอบคลุมพื้นที่กว่า 1 ล้านตารางเมตร ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงการเติบโตอย่างมหาศาลจากจุดเริ่มต้นเล็ก ๆ ในโรงรถ

ปรัชญา “ลูกค้าคือพระเจ้า”: หัวใจที่ขับเคลื่อน Amazon สู่ความสำเร็จ

อะไรคือปัจจัยสำคัญที่ทำให้ Amazon เติบโตอย่างก้าวกระโดดและยืนหยัดอยู่ในจุดสูงสุดของอุตสาหกรรมเทคโนโลยีและค้าปลีก? คำตอบไม่ได้อยู่ที่เทคโนโลยีที่ล้ำสมัยเพียงอย่างเดียว แต่อยู่ที่ปรัชญาอันแข็งแกร่งที่ เจฟฟ์ เบซอส ยึดมั่นมาตลอด นั่นคือ “การยึดลูกค้าเป็นศูนย์กลาง” (Customer Obsession) สำหรับ Amazon แล้ว ลูกค้าคือพระเจ้า ทุกการตัดสินใจ ทุกการลงทุน ล้วนมีเป้าหมายสูงสุดคือการสร้างความพึงพอใจและประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้กับลูกค้า

ปรัชญานี้ไม่ใช่แค่คำพูดสวยหรู แต่ถูกฝังรากลึกอยู่ในวัฒนธรรมองค์กรและกระบวนการทำงานทุกขั้นตอนของ Amazon คุณอาจสังเกตเห็นว่า Amazon ให้ความสำคัญกับความสะดวกสบายในการซื้อสินค้าอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นรายละเอียดสินค้าที่ครบถ้วน การมีตัวเลือกสินค้ามือสองหรือสินค้าที่ผ่านการปรับปรุงใหม่ (Refurbished) ที่ชัดเจน ไปจนถึงนโยบายการคืนสินค้าที่ง่ายดายและไม่ยุ่งยาก สิ่งเหล่านี้ล้วนถูกออกแบบมาเพื่อสร้างความมั่นใจและความเชื่อใจให้กับลูกค้า

เบซอสเชื่อว่า “ลูกค้าไม่มีทางพอใจอย่างแท้จริง” ซึ่งหมายความว่าเราต้องพยายามพัฒนาและปรับปรุงสิ่งต่าง ๆ อยู่เสมอ Amazon ลงทุนมหาศาลในการพัฒนาเทคโนโลยีและระบบ Big Data เพื่อวิเคราะห์พฤติกรรมและความต้องการของผู้บริโภคอย่างลึกซึ้ง สิ่งนี้ช่วยให้ Amazon สามารถ คาดการณ์ความต้องการของลูกค้าได้ก่อนที่ลูกค้าจะรู้ตัวด้วยซ้ำ คุณเคยสังเกตไหมว่าเมื่อคุณเข้าสู่แพลตฟอร์ม Amazon ระบบจะแนะนำสินค้าที่ตรงกับความสนใจของคุณอย่างน่าทึ่ง นั่นเป็นเพราะมีการใช้ ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในการสร้างคำแนะนำสินค้าเฉพาะบุคคล (Persona-based recommendation) ที่แม่นยำอย่างยิ่ง

การตัดสินใจภายใน Amazon มักจะอิงจากสถิติและตัวเลขที่ชัดเจนเสมอ ไม่ใช่อารมณ์หรือการคาดเดา เบซอสเคยกล่าวว่า 80% ของบริษัทควรทุ่มเทให้กับการสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้า และแม้กระทั่งการปรับปรุงประสิทธิภาพของแพลตฟอร์มให้เร็วขึ้นเพียง 0.1 วินาทีก็ถือเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่งต่อประสบการณ์ของผู้ใช้งาน สิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ เหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงความใส่ใจในรายละเอียดที่ Amazon มีต่อลูกค้า

เพื่อย้ำเตือนปรัชญานี้ เจฟฟ์ เบซอส ยังคงรักษาธรรมเนียมการวาง เก้าอี้ว่าง 1 ตัวในห้องประชุม เพื่อเป็นตัวแทนของ “ลูกค้า” ผู้ที่ไม่มีโอกาสได้เข้ามานั่งในห้องประชุม แต่เป็นผู้ที่สำคัญที่สุดในการตัดสินใจทางธุรกิจ นอกจากนี้ เบซอสยังคงอ่าน อีเมลโดยตรงจากลูกค้า ที่มีปัญหาหรือข้อร้องเรียนอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเสียงของลูกค้ามีความสำคัญอย่างแท้จริงในทุกระดับขององค์กร และนี่คือรากฐานสำคัญที่ทำให้ Amazon สามารถสร้างความภักดีจากผู้ใช้งานได้อย่างยั่งยืน

พลังของ Amazon Prime: สร้างความภักดีและเครือข่ายบริการไร้รอยต่อ

ในยุคที่ผู้บริโภคต้องการความรวดเร็วและสะดวกสบาย Amazon Prime คือกลยุทธ์อัจฉริยะที่ตอกย้ำปรัชญา “ลูกค้าคือพระเจ้า” ของ Amazon ได้อย่างชัดเจน คุณลองนึกภาพดูสิว่า หากคุณสั่งสินค้าออนไลน์ แล้วได้รับสินค้าภายในเวลาไม่กี่วัน หรือแม้กระทั่งภายในไม่กี่ชั่วโมง ความพึงพอใจที่ได้รับนั้นจะมหาศาลเพียงใด

จุดแข็งสำคัญที่สุดของ Amazon Prime คือ ความสามารถด้านการขนส่งที่รวดเร็วอย่างเหลือเชื่อ โดยมาตรฐานคือการจัดส่งภายใน 2 วันทำการ และในบางพื้นที่ของสหรัฐอเมริกา Amazon สามารถจัดส่งสินค้าได้เร็วที่สุดภายใน 23 นาที สิ่งนี้ทำให้คู่แข่งรายอื่น ๆ ยากที่จะไล่ตามทัน เพราะต้องอาศัยการลงทุนมหาศาลในโครงสร้างพื้นฐานด้านโลจิสติกส์ ระบบคลังสินค้าอัตโนมัติ และเครือข่ายการขนส่งที่ซับซ้อนและมีประสิทธิภาพสูง

แต่ Amazon Prime ไม่ได้เป็นเพียงแค่บริการจัดส่งสินค้าที่รวดเร็วเท่านั้น มันคือระบบ Loyalty Program ที่แข็งแกร่ง ซึ่งผูกใจลูกค้าไว้กับเครือข่ายบริการอันหลากหลายของ Amazon ด้วยค่าสมาชิกรายปีหรือรายเดือน สมาชิก Prime จะได้รับสิทธิพิเศษมากมายที่เหนือกว่าการซื้อสินค้าทั่วไป เช่น:

  • ส่วนลดสินค้าพิเศษ สำหรับสมาชิกเท่านั้น
  • การเข้าถึง Amazon Prime Video แพลตฟอร์มสตรีมมิ่งที่รวบรวมภาพยนตร์ ซีรีส์ และสารคดีคุณภาพสูงจำนวนมาก
  • การใช้งาน Amazon Music บริการฟังเพลงออนไลน์แบบไม่มีโฆษณาคั่น
  • การเข้าถึง หนังสือออนไลน์ฟรี ผ่าน Prime Reading
  • สิทธิประโยชน์อื่น ๆ อีกมากมาย เช่น การเก็บภาพถ่ายบนคลาวด์ได้ไม่จำกัด, ส่วนลดสำหรับการสั่งซื้อสินค้าใน Whole Foods Market และสิทธิพิเศษในวันจัดโปรโมชันใหญ่อย่าง Prime Day

กลยุทธ์นี้สร้างวงจรแห่งความภักดีที่ทรงพลัง เมื่อลูกค้าเป็นสมาชิก Prime แล้ว พวกเขาจะรู้สึกว่าตนเองได้รับมูลค่าเพิ่มจากบริการต่าง ๆ ที่รวมอยู่ในแพ็คเกจ ทำให้มีแนวโน้มที่จะใช้จ่ายบนแพลตฟอร์ม Amazon มากขึ้นเรื่อย ๆ ยิ่งใช้มาก ยิ่งรู้สึกคุ้มค่า ยิ่งอยากเป็นสมาชิกต่อไป ซึ่งส่งผลให้ Amazon มีรายได้จากค่าสมาชิก (Subscription Services) เติบโตอย่างต่อเนื่อง และเป็นส่วนสำคัญในการสนับสนุนการเติบโตโดยรวมของบริษัท ทำให้ Amazon Prime เป็นมากกว่าแค่บริการเสริม แต่มันคือแกนหลักที่ยึดโยงลูกค้าไว้กับอาณาจักรของ Amazon

ขยายอาณาจักร: จากอีคอมเมิร์ซสู่คลาวด์คอมพิวติ้งและมหกรรมความบันเทิง

เราได้เห็นแล้วว่า Amazon เริ่มต้นจากร้านขายหนังสือออนไลน์เล็ก ๆ และเติบโตมาได้อย่างไรด้วยปรัชญาที่ยึดลูกค้าเป็นศูนย์กลาง แต่การจะทำความเข้าใจว่า Amazon คือ ธุรกิจ อะไร ในปัจจุบัน เราจำเป็นต้องมองให้ไกลกว่าแค่แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ เพราะอาณาจักรของ Amazon นั้นกว้างใหญ่และหลากหลายอย่างน่าทึ่ง โดยแบ่งออกเป็นกลุ่มธุรกิจหลัก ๆ ดังนี้:

กลุ่มธุรกิจหลัก รายละเอียด
Online Stores ยอดขายสินค้าของ Amazon เองและสินค้าดิจิทัลที่ดาวน์โหลดได้
Third-Party Seller Services รายได้จากการให้บริการแก่ผู้ขายรายอื่น ๆ
Amazon Web Services (AWS) ธุรกิจบริการคลาวด์คอมพิวติ้งที่กำลังเติบโต

ในบรรดาธุรกิจทั้งหมดนี้ Amazon Web Services (AWS) คือหัวใจสำคัญที่ขับเคลื่อนกำไรและศักยภาพการเติบโตในอนาคตของ Amazon อย่างแท้จริง AWS ไม่ใช่แค่บริการเสริม แต่เป็นผู้นำตลาดในอุตสาหกรรมคลาวด์คอมพิวติ้งที่มีส่วนแบ่งตลาดสูงถึง 40% ทั่วโลก (ข้อมูลจาก Gartner ปี 2022) คุณลองนึกภาพดูสิว่า บริษัทขนาดใหญ่ทั่วโลก ตั้งแต่สตาร์ทอัพไปจนถึงองค์กรขนาดใหญ่ ล้วนต้องการโครงสร้างพื้นฐานทางดิจิทัลที่แข็งแกร่งและยืดหยุ่นเพื่อรองรับการดำเนินงานในยุคดิจิทัล AWS ตอบโจทย์นี้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ ด้วยบริการที่หลากหลายตั้งแต่คอมพิวเตอร์เสมือนจริง ฐานข้อมูล ระบบจัดเก็บข้อมูล ไปจนถึงเครื่องมือสำหรับปัญญาประดิษฐ์ (AI) และแมชชีนเลิร์นนิง

AWS ไม่เพียงสร้างรายได้มหาศาล แต่ยังเป็นแหล่งกำไรหลักของ Amazon โดยทำกำไรจากการดำเนินงานสูงถึง 62% ของกำไรจากการดำเนินงานทั้งหมดของบริษัทในไตรมาสล่าสุด ซึ่งแสดงให้เห็นว่าแม้ Amazon จะเป็นที่รู้จักในฐานะยักษ์ใหญ่อีคอมเมิร์ซ แต่เบื้องหลังความสำเร็จทางการเงินที่แท้จริงกลับมาจากธุรกิจคลาวด์คอมพิวติ้งที่หลายคนอาจมองข้ามไป

Jeff Bezos กับวิสัยทัศน์การปฏิวัติการซื้อขายออนไลน์

นอกจากนี้ Amazon ยังคงลงทุนอย่างต่อเนื่องในธุรกิจเมกะเทรนด์อื่น ๆ เช่น ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และ Generative AI ซึ่งจะยิ่งขับเคลื่อนความต้องการบริการคลาวด์ของ AWS ให้เพิ่มสูงขึ้นอีกในอนาคต ไปจนถึงธุรกิจความบันเทิงอย่าง Amazon Prime Video ที่ไม่ได้เป็นเพียงบริการสตรีมมิ่ง แต่ยังมีการลงทุนในการสร้างภาพยนตร์และซีรีส์ต้นฉบับผ่าน Amazon Studios ซึ่งช่วยดึงดูดและรักษาฐานสมาชิก Prime ให้แข็งแกร่ง

เมื่อมองจากภาพรวมของรายได้ล่าสุด (ไตรมาส 1 ถึงไตรมาส 3 ปี 2024) คุณจะเห็นการกระจายตัวของรายได้ที่ชัดเจน: Online Stores (38.09%), AWS (24.14%), Physical Stores (17.50%), Advertising Services (8.65%), Subscription Services (7.30%), Third-Party Seller Services (3.47%) ตัวเลขเหล่านี้ยืนยันว่า Amazon คืออาณาจักรธุรกิจที่พึ่งพารายได้จากหลายช่องทาง และมีการลงทุนเชิงกลยุทธ์ในธุรกิจที่มีศักยภาพการเติบโตสูงในอนาคต

AWS: ขุมพลังกำไรเบื้องหลัง Amazon และอนาคตของคลาวด์คอมพิวติ้ง

เราได้กล่าวถึงไปแล้วว่า Amazon Web Services (AWS) มีความสำคัญต่อ Amazon เพียงใด แต่เพื่อทำความเข้าใจให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้นว่า Amazon คือ ธุรกิจอะไรในยุคปัจจุบัน เราต้องเจาะลึกถึงบทบาทของ AWS ที่เป็นมากกว่าแค่หน่วยธุรกิจหนึ่ง แต่เป็นขุมพลังที่ขับเคลื่อนกำไรและนวัตกรรมให้กับบริษัททั้งหมด

ลองนึกภาพว่าในโลกปัจจุบัน ทุกธุรกิจ ไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ ล้วนต้องพึ่งพาเทคโนโลยีและข้อมูลเพื่อการดำเนินงาน ธุรกิจต้องการพื้นที่จัดเก็บข้อมูลที่มีความปลอดภัยสูง ประสิทธิภาพการประมวลผลที่รวดเร็ว และความสามารถในการปรับขนาดได้อย่างยืดหยุ่นตามความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไป นั่นคือสิ่งที่บริการ คลาวด์คอมพิวติ้ง เข้ามาตอบโจทย์ และ AWS คือผู้เล่นแถวหน้าในตลาดนี้

AWS ให้บริการโครงสร้างพื้นฐานที่ซับซ้อนผ่านอินเทอร์เน็ต ทำให้บริษัทต่าง ๆ ไม่จำเป็นต้องลงทุนสร้างและบำรุงรักษาเซิร์ฟเวอร์และศูนย์ข้อมูลของตนเองอีกต่อไป ซึ่งช่วยลดต้นทุนและเพิ่มความคล่องตัวทางธุรกิจ คุณอาจไม่รู้ตัวว่าแอปพลิเคชันที่คุณใช้งานในชีวิตประจำวัน เว็บไซต์ที่คุณเข้าชม หรือแม้กระทั่งบริการสตรีมมิ่งที่คุณรับชม อาจจะกำลังทำงานอยู่บนโครงสร้างพื้นฐานของ AWS นี่คือพลังที่มองไม่เห็นแต่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลทั่วโลก

ทำไม AWS ถึงเป็นผู้นำตลาด? นอกจากส่วนแบ่งตลาดที่สูงถึง 40% แล้ว AWS ยังโดดเด่นด้วย:

  • ความหลากหลายของบริการ: AWS มีบริการมากกว่า 200 รายการ ครอบคลุมตั้งแต่คอมพิวเตอร์, ระบบจัดเก็บข้อมูล, ฐานข้อมูล, เครือข่าย, ความปลอดภัย, ไปจนถึงบริการสำหรับนักพัฒนา, Big Data, และปัญญาประดิษฐ์ (AI)
  • นวัตกรรมที่ไม่หยุดนิ่ง: AWS เป็นผู้บุกเบิกเทคโนโลยีใหม่ ๆ อยู่เสมอ และเป็นหนึ่งในผู้ผลักดันสำคัญในการพัฒนาและนำเทคโนโลยี Generative AI มาให้บริการแก่ธุรกิจต่าง ๆ ซึ่งจะสร้างโอกาสการเติบโตมหาศาลในอนาคต
  • ความน่าเชื่อถือและความปลอดภัย: ด้วยประสบการณ์ยาวนานกว่าทศวรรษในการให้บริการคลาวด์ AWS ได้รับความไว้วางใจจากองค์กรขนาดใหญ่ทั่วโลก รวมถึงหน่วยงานภาครัฐและสถาบันการเงิน

AWS เริ่มต้นขึ้นในปี 2006 โดยเป็นหนึ่งในการทดลองเชิงนวัตกรรมภายใน Amazon เพื่อตอบสนองความต้องการด้านโครงสร้างพื้นฐานของตนเอง แต่เมื่อเบซอสและทีมงานตระหนักถึงศักยภาพ พวกเขาก็ตัดสินใจเปิดให้บริการนี้แก่บุคคลภายนอก และนั่นคือจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้ Amazon ก้าวข้ามจากการเป็นแค่บริษัทอีคอมเมิร์ซมาสู่การเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีระดับโลกที่ให้บริการโครงสร้างพื้นฐานที่ซับซ้อนให้กับธุรกิจอื่น ๆ ปัจจุบัน AWS ไม่เพียงสร้างกำไรที่แข็งแกร่ง แต่ยังเป็นรากฐานที่สำคัญสำหรับการขยายตัวของ Amazon ไปสู่เทคโนโลยีแห่งอนาคต เช่น Internet of Things (IoT), Machine Learning, และการวิเคราะห์ข้อมูลขั้นสูง ทำให้ AWS เป็นตัวบ่งชี้ที่ชัดเจนถึงทิศทางและอนาคตของ Amazon

สมรภูมิการค้าปลีก: Amazon vs. Walmart – เมื่ออีคอมเมิร์ซผงาดเหนือยักษ์ใหญ่ดั้งเดิม

ในอดีต เมื่อเรานึกถึงยักษ์ใหญ่แห่งวงการค้าปลีก ชื่อแรก ๆ ที่ผุดขึ้นมาในใจคือ Walmart บริษัทที่มีเครือข่ายร้านค้าปลีกครอบคลุมทั่วโลก และมีรายได้สูงที่สุดในโลกมาอย่างยาวนาน อย่างไรก็ตาม ภูมิทัศน์ของการค้าปลีกกำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว และ Amazon กำลังก้าวขึ้นมาท้าทายบัลลังก์นี้อย่างเต็มตัว การเปรียบเทียบระหว่าง Amazon และ Walmart จึงเป็นกรณีศึกษาที่น่าสนใจในการทำความเข้าใจการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้บริโภคและการผงาดของอีคอมเมิร์ซ

ข้อมูลทางการเงินล่าสุดชี้ให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงที่น่าตกใจ: ในปี 2023 Walmart ยังคงเป็นบริษัทค้าปลีกที่มีรายได้สูงสุดในโลก ด้วยรายได้ประมาณ 22 ล้านล้านบาท แต่ Amazon กำลังเดินหน้าอย่างรวดเร็วเพื่อแซงหน้า การคาดการณ์ระบุว่า Amazon อาจมียอดขายสูงกว่า Walmart เป็นครั้งแรกในไตรมาส 4 ของปี 2024 และมีแนวโน้มที่รายได้ทั้งปีจะแซงหน้าในปี 2025 เป็นต้นไป ซึ่งจะเป็นเหตุการณ์สำคัญที่สะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงของอำนาจในตลาดค้าปลีกจากแบบออฟไลน์สู่แบบออนไลน์อย่างชัดเจน

อะไรคือปัจจัยที่ทำให้ Amazon เติบโตอย่างรวดเร็ว? หากเราพิจารณาอัตราการเติบโตของรายได้ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา Amazon มีอัตราการเติบโตเฉลี่ย 23% ต่อปี ในขณะที่ Walmart เติบโตเฉลี่ยเพียง 3% ต่อปี นี่แสดงให้เห็นถึงพลังของการขยายตัวในตลาดอีคอมเมิร์ซและบริการคลาวด์ที่ Amazon เชี่ยวชาญ นอกจากนี้ เมื่อมองที่ กำไรสุทธิ คุณจะเห็นความแตกต่างที่ชัดเจนยิ่งขึ้น ใน 9 เดือนแรกของปี 2024 Amazon ทำกำไรสุทธิได้ถึง 1.33 ล้านล้านบาท ในขณะที่ Walmart ทำได้เพียง 0.48 ล้านล้านบาท ซึ่งสะท้อนถึงโครงสร้างธุรกิจและอัตรากำไรของ Amazon ที่สูงกว่าอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะจากธุรกิจ AWS

มูลค่าบริษัทก็เป็นอีกหนึ่งตัวชี้วัดที่น่าสนใจ มูลค่าบริษัทของ Amazon อยู่ที่ประมาณ 81 ล้านล้านบาท ซึ่งสูงกว่า Walmart ที่ประมาณ 25 ล้านล้านบาท อย่างมาก สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นว่าตลาดให้มูลค่ากับ Amazon มากกว่า เพราะมองเห็นศักยภาพการเติบโตในอนาคตของธุรกิจเทรนด์อย่างอีคอมเมิร์ซและคลาวด์คอมพิวติ้งมากกว่าธุรกิจค้าปลีกแบบดั้งเดิม

Amazon อาจแซง Walmart ในการค้าปลีก

การเติบโตของรายได้ของ Amazon เป็นสิ่งที่น่าทึ่ง เพราะเติบโตต่อเนื่องทุกปีนับตั้งแต่ก่อตั้ง ไม่ว่าจะเกิดวิกฤตเศรษฐกิจหรือการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 และกำไรสุทธิส่วนใหญ่ก็เป็นบวกมาตลอด โดยมีอัตราการเติบโตเฉลี่ย 27% ต่อปีในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา (2019-2023) นี่คือข้อพิสูจน์ถึงความยืดหยุ่นและความสามารถในการปรับตัวของโมเดลธุรกิจของ Amazon ในการเปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์การค้าปลีกทั่วโลก

คู่แข่งในยุคดิจิทัล: Temu และความท้าทายในตลาดอีคอมเมิร์ซที่ไร้พรมแดน

แม้ว่า Amazon จะเป็นผู้นำตลาดอีคอมเมิร์ซที่มีส่วนแบ่งมากที่สุดในสหรัฐอเมริกาถึง 63% (ข้อมูลจาก Statista ปี 2022) ซึ่งสูงกว่าอันดับสองอย่าง Walmart ที่ 11% อย่างไรก็ตาม ในโลกของธุรกิจดิจิทัลที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว การเป็นผู้นำไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีคู่แข่งหน้าใหม่ที่เข้ามาท้าทาย และหนึ่งในคู่แข่งที่กำลัง “เขย่าบัลลังก์” Amazon ได้สำเร็จอย่างน่าจับตาคือ Temu อีคอมเมิร์ซสัญชาติจีน

Temu ก่อตั้งขึ้นได้เพียง 2 ปี แต่กลับสามารถสร้างปรากฏการณ์และดึงดูดความสนใจจากผู้บริโภคได้อย่างรวดเร็ว ด้วยกลยุทธ์ที่เน้นการตลาดออนไลน์อย่างหนักและการขายสินค้าในราคาที่ถูกมาก ๆ Temu ใช้โมเดล “จากโรงงานถึงลูกค้า” (Factory-to-Consumer) ซึ่งตัดคนกลางออกไป ทำให้สามารถเสนอราคาที่ต่ำกว่าคู่แข่งรายอื่น ๆ ได้มาก นี่คือความท้าทายใหม่ที่ Amazon ต้องเผชิญในตลาดอีคอมเมิร์ซที่ดุเดือด

การเข้ามาของ Temu สะท้อนให้เห็นถึงพลวัตของการแข่งขันในตลาดดิจิทัลที่ยังคงรุนแรงและมีการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์อยู่ตลอดเวลา หาก Amazon เน้นที่ความสะดวกสบาย การจัดส่งที่รวดเร็ว และบริการครบวงจรผ่าน Amazon Prime Temu กลับเลือกใช้กลยุทธ์ราคาที่ยากจะต้านทานสำหรับผู้บริโภคที่มองหาสินค้าราคาประหยัด แม้ว่าโมเดลของ Temu อาจมีข้อจำกัดในเรื่องคุณภาพหรือเวลาการจัดส่ง แต่ก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าสามารถดึงดูดฐานลูกค้ากลุ่มใหญ่ได้

สำหรับ Amazon การเผชิญหน้ากับคู่แข่งอย่าง Temu ไม่ใช่เรื่องใหม่ บริษัทเคยผ่านสมรภูมิการแข่งขันมาแล้วมากมาย และมักจะตอบโต้ด้วยการเพิ่มประสิทธิภาพบริการ สร้างนวัตกรรมใหม่ ๆ และรักษาความได้เปรียบที่ตนเองมีอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นเครือข่ายโลจิสติกส์ที่แข็งแกร่ง ฐานข้อมูลลูกค้าที่กว้างขวาง หรือความหลากหลายของธุรกิจที่รองรับการเติบโตในระยะยาว

ในขณะที่ Amazon ยังคงเป็นผู้นำอย่างแข็งแกร่งในตลาดหลัก เช่น สหรัฐอเมริกา แต่การมีอยู่ของคู่แข่งอย่าง Temu ก็เป็นเครื่องเตือนใจว่าการทำธุรกิจในยุคดิจิทัลไม่มีพรมแดน และต้องพร้อมที่จะปรับตัวและสร้างนวัตกรรมอยู่เสมอ เพื่อรักษาตำแหน่งผู้นำในตลาดที่มีการแข่งขันสูงเช่นนี้

ผลประกอบการและศักยภาพการเติบโตที่ไม่เคยหยุดนิ่งของ Amazon

นอกเหนือจากกลยุทธ์ทางธุรกิจและการแข่งขันแล้ว ตัวเลขทางการเงินคือเครื่องสะท้อนที่ชัดเจนที่สุดว่า Amazon คือ ธุรกิจ อะไร และมีศักยภาพการเติบโตในอนาคตอย่างไร หากเราย้อนดูประวัติการเติบโตของ Amazon เราจะพบว่าบริษัทมีผลประกอบการที่โดดเด่นอย่างต่อเนื่อง แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการสร้างรายได้และกำไรอย่างยั่งยืน

หนึ่งในสิ่งที่น่าทึ่งที่สุดคือ รายได้ของ Amazon เติบโตอย่างต่อเนื่องทุกปีนับตั้งแต่ก่อตั้ง ไม่ว่าจะเกิดวิกฤตเศรษฐกิจครั้งใด หรือแม้กระทั่งในช่วงการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อธุรกิจทั่วโลก Amazon กลับสามารถสร้างการเติบโตได้อย่างสวนกระแส นี่แสดงให้เห็นถึงความยืดหยุ่นของโมเดลธุรกิจที่ตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้บริโภคที่หันมาพึ่งพาแพลตฟอร์มออนไลน์มากขึ้น

ปี อัตราการเติบโตของรายได้ (%) กำไรสุทธิ (ล้านบาท)
2019 27% 700,000
2020 38% 800,000
2021 25% 600,000

ในด้าน กำไรสุทธิ แม้ว่า Amazon ในช่วงแรก ๆ จะเน้นการลงทุนเพื่อการเติบโตและขยายส่วนแบ่งการตลาด ทำให้กำไรสุทธิผันผวนบ้าง แต่ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา กำไรสุทธิของ Amazon กลับมาเป็นบวกอย่างมีนัยสำคัญและเติบโตอย่างแข็งแกร่ง โดยเฉพาะในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา (2019-2023) ที่มีอัตราการเติบโตเฉลี่ยสูงถึง 27% ต่อปี นี่เป็นผลลัพธ์มาจากการที่ธุรกิจ AWS เริ่มทำกำไรได้ในสัดส่วนที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการเติบโตของธุรกิจโฆษณา (Advertising Services) และบริการสมาชิก (Subscription Services) ที่มีอัตรากำไรสูง

มูลค่าบริษัท (Market Cap) ของ Amazon ก็สะท้อนถึงมุมมองของนักลงทุนที่มีต่อศักยภาพในอนาคต Amazon เป็นหนึ่งในบริษัทที่มีมูลค่าตลาดสูงที่สุดในโลก และมักจะถูกจัดอยู่ในกลุ่ม “Magnificent 7” หรือหุ้นเทคโนโลยีชั้นนำที่มีการเติบโตโดดเด่น สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่านักลงทุนมองเห็นคุณค่าและโอกาสในการเติบโตของ Amazon ในระยะยาว โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากปัจจัยขับเคลื่อนสำคัญ:

  • การเติบโตอย่างต่อเนื่องของธุรกิจคลาวด์คอมพิวติ้ง (AWS): ซึ่งเป็นกระแสเมกะเทรนด์ที่ได้รับแรงหนุนจากการเปลี่ยนแปลงสู่ดิจิทัล (Digital Transformation) และการลงทุนในเทคโนโลยี Generative AI
  • การขยายตลาดระหว่างประเทศ: Amazon ยังคงมีโอกาสเติบโตอีกมากในตลาดนอกสหรัฐอเมริกา โดยเฉพาะในประเทศกำลังพัฒนาที่มีศักยภาพการเติบโตของอีคอมเมิร์ซสูง
  • นวัตกรรมที่ไม่หยุดนิ่ง: การลงทุนในเทคโนโลยีใหม่ ๆ เช่น AI, หุ่นยนต์, และการจัดส่งด้วยโดรน จะช่วยให้ Amazon รักษาความได้เปรียบทางการแข่งขันในอนาคต

ด้วยผลประกอบการที่แข็งแกร่งและปัจจัยขับเคลื่อนการเติบโตที่ชัดเจน Amazon จึงยังคงเป็นหนึ่งในบริษัทที่น่าจับตามองสำหรับนักลงทุนที่มองหาการลงทุนในธุรกิจที่มีอนาคตและสามารถปรับตัวเข้ากับกระแสการเปลี่ยนแปลงของโลกได้

โอกาสการลงทุนใน Amazon สำหรับนักลงทุนไทย: เกินกว่าแค่การซื้อขายหุ้น

สำหรับนักลงทุนไทยที่มองเห็นศักยภาพอันมหาศาลของ Amazon และต้องการเป็นส่วนหนึ่งของการเติบโตของยักษ์ใหญ่เทคโนโลยีระดับโลกนี้ ข่าวดีก็คือคุณสามารถลงทุนในหุ้น Amazon (AMZN) ได้แล้วในประเทศไทยผ่านตราสาร DRx (Depository Receipt for fractional shares) ที่ซื้อขายอยู่ในตลาดหุ้นไทย ระบบ DRx ช่วยให้นักลงทุนสามารถลงทุนในหุ้นต่างประเทศชั้นนำได้สะดวกขึ้น โดยสามารถลงทุนขั้นต่ำได้ตั้งแต่ 0.0001 หน่วย และซื้อขายเป็นเงินบาทได้โดยตรง ซึ่งช่วยลดความยุ่งยากในการเปิดบัญชีซื้อขายหุ้นต่างประเทศโดยตรง

การลงทุนในหุ้นอย่าง Amazon ผ่าน DRx เปิดโอกาสให้คุณได้เป็นเจ้าของส่วนหนึ่งของบริษัทที่มีอิทธิพลต่อเศรษฐกิจโลกอย่างแท้จริง Amazon ไม่ได้เป็นเพียงบริษัทที่ทำกำไรได้ดี แต่ยังเป็นตัวแทนของการเปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์ธุรกิจ จากการค้าปลีกแบบดั้งเดิมไปสู่อีคอมเมิร์ซ และจากบริการพื้นฐานไปสู่บริการคลาวด์คอมพิวติ้งที่มีมูลค่าสูง การลงทุนใน Amazon จึงเป็นการลงทุนในบริษัทที่มีนวัตกรรมและสามารถปรับตัวเข้ากับเมกะเทรนด์ของโลกอนาคตได้เป็นอย่างดี

อย่างไรก็ตาม การลงทุนย่อมมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลและทำความเข้าใจในธุรกิจของ Amazon อย่างถ่องแท้ รวมถึงวิเคราะห์ปัจจัยต่าง ๆ ที่อาจส่งผลกระทบต่อราคาหุ้น ไม่ว่าจะเป็นภาวะเศรษฐกิจโลก การแข่งขันในอุตสาหกรรม หรือนโยบายของบริษัท เพื่อประกอบการตัดสินใจลงทุนอย่างรอบคอบ

ในโลกการลงทุนที่ไร้พรมแดนในปัจจุบัน นักลงทุนมีทางเลือกในการเข้าถึงสินทรัพย์หลากหลายประเภทมากขึ้น ไม่เพียงแต่หุ้นในประเทศเท่านั้น แต่ยังรวมถึงหุ้นต่างประเทศ ตราสารหนี้ กองทุนรวม และแม้กระทั่งการซื้อขาย สัญญาซื้อขายส่วนต่าง (CFD) ที่ครอบคลุมสินค้าหลากหลายประเภท เช่น หุ้น ดัชนี หรือแม้แต่ คู่เงินต่างประเทศ (Forex)

หากคุณกำลังพิจารณาที่จะเริ่มต้นทำการ ซื้อขายแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ (Forex) หรือสำรวจสินค้า CFD อื่น ๆ เพิ่มเติม โมเนต้า มาร์เก็ตส์ (Moneta Markets) เป็นแพลตฟอร์มที่น่าพิจารณาเป็นอย่างยิ่ง บริษัทนี้มาจากประเทศออสเตรเลีย และนำเสนอสินค้าทางการเงินมากกว่า 1,000 รายการ ไม่ว่าคุณจะเป็นนักลงทุนมือใหม่หรือนักเทรดมืออาชีพ คุณก็จะพบกับทางเลือกที่เหมาะสม

ในขณะที่คุณกำลังมองหาแพลตฟอร์มการซื้อขายที่ตอบโจทย์ โมเนต้า มาร์เก็ตส์ (Moneta Markets) มีความยืดหยุ่นและข้อได้เปรียบทางเทคโนโลยีที่ควรกล่าวถึง แพลตฟอร์มนี้รองรับแพลตฟอร์มยอดนิยมอย่าง MT4, MT5, และ โปรเทรดเดอร์ (Pro Trader) ซึ่งผสานกับการดำเนินการคำสั่งที่รวดเร็วและการตั้งค่าสเปรดที่ต่ำ มอบประสบการณ์การเทรดที่ดีเยี่ยมให้กับผู้ใช้งาน

การกระจายความเสี่ยงและเข้าถึงตลาดที่หลากหลายเป็นสิ่งสำคัญในการสร้างพอร์ตโฟลิโอที่แข็งแกร่ง การทำความเข้าใจว่า Amazon คือ ธุรกิจอะไรอย่างแท้จริง รวมถึงการสำรวจโอกาสการลงทุนอื่น ๆ จะช่วยให้คุณมีมุมมองที่กว้างขึ้นและสามารถตัดสินใจลงทุนได้อย่างชาญฉลาดและรอบด้าน

สรุป: Amazon ไม่ใช่แค่ธุรกิจ แต่มันคือวิวัฒนาการของเศรษฐกิจโลก

ตลอดการเดินทางที่เราได้สำรวจอาณาจักรของ Amazon คุณคงได้เห็นแล้วว่า Amazon คือ ธุรกิจ อะไรที่กว้างใหญ่และซับซ้อนกว่าแค่ร้านค้าออนไลน์ที่เราคุ้นเคย จากจุดเริ่มต้นเล็ก ๆ ในโรงรถ สู่การเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมอีคอมเมิร์ซ คลาวด์คอมพิวติ้ง และธุรกิจเทคโนโลยีอื่น ๆ อีกมากมาย Amazon ไม่เพียงเป็นบริษัทที่ประสบความสำเร็จทางธุรกิจอย่างสูง แต่ยังเป็นต้นแบบของการปรับตัวและสร้างสรรค์นวัตกรรมที่ไม่หยุดนิ่ง

เราได้เห็นว่าปรัชญา “การยึดลูกค้าเป็นศูนย์กลาง” ของ เจฟฟ์ เบซอส ไม่ใช่แค่สโลแกน แต่เป็นหลักปฏิบัติที่ฝังรากลึกในทุกกระบวนการ ตั้งแต่การใช้ Big Data และ ปัญญาประดิษฐ์ (AI) เพื่อทำความเข้าใจความต้องการของลูกค้า ไปจนถึงการพัฒนาระบบสมาชิก Amazon Prime ที่มอบความสะดวกสบายและสิทธิพิเศษครบวงจร กลยุทธ์เหล่านี้ไม่เพียงสร้างความภักดี แต่ยังขับเคลื่อนการเติบโตอย่างยั่งยืนให้กับบริษัท

การตัดสินใจขยายธุรกิจสู่เมกะเทรนด์อย่าง Amazon Web Services (AWS) ได้เปลี่ยนโฉมหน้าของ Amazon ไปอย่างสิ้นเชิง AWS ไม่ใช่แค่หน่วยธุรกิจหนึ่ง แต่เป็นผู้นำตลาดคลาวด์คอมพิวติ้งที่สร้างกำไรหลักให้กับบริษัท และเป็นรากฐานสำคัญสำหรับการลงทุนในเทคโนโลยีแห่งอนาคต เช่น Generative AI ซึ่งแสดงให้เห็นว่า Amazon มองการณ์ไกลและพร้อมที่จะลงทุนในธุรกิจที่มีศักยภาพการเติบโตสูง

นอกจากนี้ การที่ Amazon กำลังจะแซงหน้า Walmart ในฐานะบริษัทค้าปลีกที่มีรายได้สูงสุดในโลก ยังสะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์การค้าปลีกจากออฟไลน์สู่ออนไลน์อย่างชัดเจน และแม้ว่า Amazon จะเป็นผู้นำตลาด แต่ก็ยังต้องเผชิญกับการแข่งขันจากผู้เล่นใหม่ที่มีกลยุทธ์เฉพาะตัวอย่าง Temu ซึ่งเน้นราคาถูกและโมเดลจากโรงงานถึงลูกค้า แสดงให้เห็นถึงพลวัตของการแข่งขันในตลาดดิจิทัลที่ยังคงดุเดือด

ในฐานะนักลงทุน เราได้เห็นแล้วว่า Amazon มีศักยภาพการเติบโตที่น่าจับตามองในระยะยาว และมีช่องทางการลงทุนสำหรับนักลงทุนไทยผ่านตราสาร DRx รวมถึงโอกาสในการสำรวจการลงทุนในตลาดอื่น ๆ อย่างการซื้อขาย Forex หรือ CFD ผ่านแพลตฟอร์มที่น่าเชื่อถือ

โดยสรุปแล้ว Amazon ไม่เพียงเป็นบริษัทที่ประสบความสำเร็จทางธุรกิจอย่างมหาศาล แต่ยังเป็นสัญลักษณ์ของ วิวัฒนาการของเศรษฐกิจโลกในยุคดิจิทัล ที่เน้นนวัตกรรม ความยืดหยุ่น และการยึดลูกค้าเป็นศูนย์กลางเป็นหัวใจสำคัญของการดำเนินธุรกิจ ด้วยวิสัยทัศน์ที่ไม่เคยหยุดนิ่ง Amazon จะยังคงเป็นพลังขับเคลื่อนสำคัญในการเปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์เศรษฐกิจดิจิทัลของโลก และยังคงมีศักยภาพการเติบโตที่น่าจับตาในอนาคตอันใกล้ และไกลออกไป

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับamazon คือ ธุรกิจ อะไร

Q:Amazon เริ่มต้นเมื่อไหร่?

A:Amazon เริ่มต้นในปี 1994 โดยเจฟฟ์ เบซอส ในโรงรถที่ซีแอตเทิล

Q:ธุรกิจหลักของ Amazon คืออะไร?

A:ธุรกิจหลักของ Amazon คือการขายสินค้าออนไลน์และบริการคลาวด์ผ่าน Amazon Web Services (AWS)

Q:Amazon Prime นั้นมีผลดีต่อธุรกิจอย่างไร?

A:Amazon Prime ช่วยเพิ่มความภักดีของลูกค้าและสร้างรายได้ประจำจากค่าบริการสมาชิก

發佈留言

發佈留言必須填寫的電子郵件地址不會公開。 必填欄位標示為 *