บทนำ: ทำไมต้องเข้าใจหุ้นสามัญและหุ้นบุริมสิทธิ?
ในแวดวงการลงทุนที่เต็มไปด้วยความซับซ้อน การรู้จักเครื่องมือทางการเงินพื้นฐานถือเป็นกุญแจสำคัญสำหรับนักลงทุนทุกระดับ โดยเฉพาะผู้ที่สนใจตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หรือ SET หุ้นสามัญและหุ้นบุริมสิทธิ คือสองรูปแบบหลักที่บริษัทใช้ในการระดมทุนจากประชาชนทั่วไป การแยกแยะความต่างระหว่างทั้งคู่นี้ ไม่เพียงช่วยให้นักลงทุนตัดสินใจได้อย่างรอบคอบมากขึ้น แต่ยังเอื้อให้บริษัทวางแผนโครงสร้างทุนได้อย่างลงตัวยิ่งขึ้น บทความนี้จะพาคุณสำรวจลักษณะเด่น สิทธิประโยชน์ และข้อจำกัดของหุ้นทั้งสองประเภท พร้อมทั้งเปรียบเทียบจุดต่างสำคัญ เพื่อให้คุณมีข้อมูลครบถ้วนสำหรับการลงทุนที่สอดคล้องกับเป้าหมายและระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้

หุ้นสามัญ คืออะไร? เจาะลึกสิทธิและลักษณะสำคัญ
หุ้นสามัญ หรือที่รู้จักในชื่อ Common Stock คือหลักทรัพย์ที่แสดงถึงส่วนแบ่งการเป็นเจ้าของบริษัทอย่างแท้จริง ผู้ถือหุ้นประเภทนี้กลายเป็นหนึ่งในเจ้าของธุรกิจ โดยมีสิทธิ์เรียกร้องส่วนแบ่งจากกำไรและทรัพย์สินของบริษัท แต่สิทธิเหล่านี้จะเคลื่อนไหวหลังจากที่บริษัทเคลียร์หนี้สินและพันธะอื่นๆ เรียบร้อยแล้ว โดยเฉพาะเมื่อบริษัทต้องยุติกิจการ ผู้ถือหุ้นสามัญจะได้รับการชดเชยหลังจากผู้ถือหุ้นบุริมสิทธิแล้ว
มาดูลักษณะหลักและสิทธิของผู้ถือหุ้นสามัญกันให้ละเอียดยิ่งขึ้น
- สิทธิออกเสียง: ผู้ถือหุ้นสามัญสามารถมีส่วนร่วมในการลงคะแนนที่ประชุมผู้ถือหุ้น เพื่อกำหนดเรื่องสำคัญ เช่น การแต่งตั้งคณะกรรมการ อนุมัติงบดุล การปรับแก้ข้อบังคับ หรือการรวมกิจการ สิทธิ์นี้เปิดโอกาสให้พวกเขามีบทบาทในการกำหนดทิศทางธุรกิจ
- เงินปันผล: การรับเงินปันผลขึ้นกับผลประกอบการและแนวทางของบอร์ดบริหาร หากบริษัททำกำไรดีและมีนโยบายแจกจ่ายสูง ผู้ถือหุ้นก็มีลุ้นรับส่วนแบ่งมาก แต่ถ้าผลงานย่ำแย่หรือบริษัทเก็บเงินไว้ขยายกิจการ ก็อาจได้น้อยหรือไม่ได้เลย
- โอกาสเติบโต: หุ้นสามัญมักมีศักยภาพให้ราคาขึ้นสูง หากธุรกิจไปได้สวยและมีอนาคตสดใส นี่คือช่องทางสร้างผลตอบแทนจากส่วนต่างราคาหุ้น หรือ Capital Gain
- ความเสี่ยง: ผลตอบแทนผูกติดกับสุขภาพธุรกิจ ทำให้มีความเสี่ยงสูงกว่าหุ้นบุริมสิทธิหรือตราสารหนี้ ถ้าบริษัทล้มละลาย ผู้ถือหุ้นสามัญจะได้ทรัพย์สินเป็นรายสุดท้าย
- สภาพคล่อง: หุ้นสามัญที่จดทะเบียนใน SET มักซื้อขายง่าย สามารถเคลื่อนย้ายได้สะดวก
การถือหุ้นสามัญจึงเหมาะกับนักลงทุนที่อยากมีส่วนในการบริหารและยอมรับความเสี่ยงเพื่อผลตอบแทนระยะยาวที่อาจคุ้มค่า โดยในตลาดไทย เรามักเห็นหุ้นสามัญจากบริษัทเติบโตอย่างรวดเร็ว เช่น ในภาคเทคโนโลยีที่กำลังขยายตัว

หุ้นบุริมสิทธิ คืออะไร? ความมั่นคงที่มาพร้อมข้อจำกัด
หุ้นบุริมสิทธิ หรือ Preferred Stock คืออีกทางเลือกหนึ่งในตราสารทุนที่ผสมผสานคุณสมบัติจากหุ้นสามัญและตราสารหนี้ ผู้ถือหุ้นนี้ได้สิทธิพิเศษเหนือกว่าผู้ถือหุ้นสามัญในบางด้าน แต่ส่วนใหญ่จะไม่เข้าไปยุ่งกับการบริหารจัดการ
สำรวจลักษณะหลักและสิทธิประโยชน์ของหุ้นบุริมสิทธิกัน
- สิทธิพิเศษเรื่องเงินปันผล: ผู้ถือหุ้นบุริมสิทธิได้เงินปันผลในอัตราคงที่หรือตามสูตรที่กำหนด ก่อนที่หุ้นสามัญจะได้รับ ถ้าเป็นแบบสะสม (Cumulative Preferred Stock) เงินที่ค้างจ่ายจะถูกชดเชยทั้งหมดก่อนใคร
- สิทธิเรียกร้องทรัพย์สินตอนยุติกิจการ: ถ้าบริษัทล้ม ผู้ถือหุ้นบุริมสิทธิได้เงินทุนคืนก่อนหุ้นสามัญ แต่ยังหลังจากเจ้าหนี้นี้ช่วยลดความเสี่ยงการสูญเสียลงได้บ้าง
- ไม่มีสิทธิออกเสียง: โดยปกติไม่มีสิทธิลงคะแนนในที่ประชุม เว้นแต่กรณีพิเศษ เช่น การเปลี่ยนสิทธิของหุ้นบุริมสิทธิหรือการผิดนัดปันผล
- ความมั่นคงและผลตอบแทนที่คาดเดาได้: ด้วยสิทธิปันผลที่แน่นอน หุ้นนี้ให้ความน่าเชื่อถือและรายได้สม่ำเสมอ เหมาะกับนักลงทุนที่ต้องการกระแสเงินสดคงที่
- โอกาสเติบโตของราคา: ราคาไม่ผันผวนมากและเติบโตจำกัด เพราะผลตอบแทนหลักมาจากปันผลคงที่
- บทบาทในระดมทุน: ช่วยบริษัทหาเงินทุนโดยไม่เพิ่มหนี้ และไม่ลดอำนาจควบคุมของผู้ถือหุ้นสามัญเดิม ซึ่งดีต่อผู้บริหารหรือผู้ถือหุ้นใหญ่
ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับหุ้นบุริมสิทธิจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
หน่วยงานอย่างสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) คอยกำกับดูแลการออกและเสนอขายหุ้นบุริมสิทธิ เพื่อความโปร่งใสและเป็นธรรมต่อนักลงทุนทุกคน ในทางปฏิบัติ หุ้นบุริมสิทธิในไทยมักปรากฏในบริษัทขนาดใหญ่ที่ต้องการดึงดูดนักลงทุนแบบอนุรักษ์นิยม

เปรียบเทียบหุ้นสามัญ vs. หุ้นบุริมสิทธิ: 7 ข้อแตกต่างสำคัญที่ควรรู้
เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนยิ่งขึ้น เรามาดูตารางเปรียบเทียบจุดต่างหลักระหว่างหุ้นสามัญและหุ้นบุริมสิทธิในประเด็นที่นักลงทุนไม่ควรพลาด
| คุณสมบัติ | หุ้นสามัญ (Common Stock) | หุ้นบุริมสิทธิ (Preferred Stock) |
|---|---|---|
| 1. สิทธิออกเสียง | มีสิทธิลงคะแนนในที่ประชุมผู้ถือหุ้น | โดยทั่วไปไม่มี (ยกเว้นกรณีพิเศษ) |
| 2. การจ่ายเงินปันผล | ไม่คงที่ ขึ้นกับผลงานและนโยบายบริษัท | คงที่หรือตามอัตราที่กำหนด ได้รับก่อนหุ้นสามัญ |
| 3. สิทธิเรียกร้องสินทรัพย์เมื่อเลิกกิจการ | ได้รับเป็นลำดับสุดท้าย หลังเจ้าหนี้และหุ้นบุริมสิทธิ | ได้รับก่อนหุ้นสามัญ แต่หลังเจ้าหนี้ |
| 4. ศักยภาพการเติบโตของราคา | สูง หากผลประกอบการและแนวโน้มดี | ต่ำกว่าหุ้นสามัญ ราคาค่อนข้างคงที่ |
| 5. ความเสี่ยง | สูง มีโอกาสสูญเสียมาก | ต่ำกว่าหุ้นสามัญ แต่สูงกว่าหุ้นกู้ มั่นคงเรื่องปันผล |
| 6. สภาพคล่องในตลาด | สูงกว่า (สำหรับหุ้นยอดนิยม) | ต่ำกว่าหุ้นสามัญ (ขึ้นกับหลักทรัพย์แต่ละตัว) |
| 7. ผลกระทบต่อโครงสร้างทุนของบริษัท | เพิ่มทุนและฐานเจ้าของ อาจเจือจางอำนาจควบคุม | เพิ่มทุนโดยไม่เจือจางอำนาจ มีลักษณะคล้ายหนี้ |
ใครควรลงทุนในหุ้นแบบไหน? วิเคราะห์ตามเป้าหมายนักลงทุนไทย
การเลือกหุ้นสามัญหรือหุ้นบุริมสิทธิ ต้องพิจารณาจากเป้าหมายส่วนตัว ระดับความเสี่ยงที่รับไหว และช่วงเวลาการลงทุน นักลงทุนไทยสามารถประเมินตัวเองได้ดังนี้
สำหรับนักลงทุนที่มุ่งเน้นการเติบโตและการมีส่วนร่วม (Growth-oriented and Participatory Investors):
ถ้าคุณมั่นใจในศักยภาพระยะยาวของบริษัท ยอมรับความเสี่ยงเพื่อผลตอบแทนจากส่วนต่างราคา และอยากมีเสียงในการตัดสินใจสำคัญ หุ้นสามัญน่าจะตอบโจทย์ นักลงทุนแบบนี้มักขุดข้อมูลบริษัทลึก ดูแนวอุตสาหกรรม และติดตามผลงานใกล้ชิด เพื่อหาหุ้นเติบโตสูง เช่น ในอุตสาหกรรมนวัตกรรมที่กำลังบูมในไทย
สำหรับนักลงทุนที่ต้องการความมั่นคงและรายได้สม่ำเสมอ (Stability-seeking and Income Investors):
ถ้าคุณให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของทุนและกระแสเงินสดจากปันผลสม่ำเสมอ โดยไม่อยากเจอความผันผวนราคามาก และไม่สนใจบริหาร หุ้นบุริมสิทธิอาจเหมาะกว่า กลุ่มนี้รวมถึงผู้เกษียณที่ต้องการเงินใช้จ่ายประจำ หรือคนที่กระจายพอร์ตด้วยสินทรัพย์เสี่ยงต่ำ
สรุปคือ การเลือกหุ้นควรเข้ากับสไตล์ลงทุนของคุณ ถ้าไม่แน่ใจ ควรปรึกษาที่ปรึกษาการเงินเพื่อความมั่นใจ
มุมมองของบริษัท: ทำไมต้องออกหุ้นสามัญหรือหุ้นบุริมสิทธิ?
การตัดสินใจออกหุ้นสามัญหรือบุริมสิทธิ เป็นกลยุทธ์หลักในการจัดการทุนและหาเงินทุน ซึ่งส่งผลต่อทั้งบริษัทและผู้ถือหุ้น
การออกหุ้นสามัญ (Issuing Common Stock):
บริษัทเลือกทางนี้เมื่ออยากหาเงินก้อนใหญ่สำหรับขยายตัว ชำระหนี้ หรือทุนหมุน ข้อดีคือไม่ต้องจ่ายดอกเบี้ยหรือคืนเงินตามกำหนด ช่วยกระจายความเสี่ยง แต่การเพิ่มหุ้นอาจทำให้สิทธิเดิมเจือจาง สัดส่วนถือหุ้นและอำนาจลดลง นอกจากนี้ ผู้ถือหุ้นจำนวนมากอาจทำให้การตัดสินใจยุ่งยากขึ้น
การออกหุ้นบุริมสิทธิ (Issuing Preferred Stock):
เหมาะสำหรับบริษัทที่อยากหาเงินโดยไม่กระทบอำนาจควบคุมของผู้ถือหุ้นสามัญเดิม ดีต่อผู้บริหารหรือผู้ถือใหญ่ที่อยากรักษาสัดส่วน ยังดึงดูดนักลงทุนต้องการรายได้คงที่ แต่ภาระปันผลที่แน่นอนคล้ายดอกเบี้ยหนี้ อาจกดดันกระแสเงินสดถ้าผลงานไม่ดี โดยเฉพาะในเศรษฐกิจผันผวนอย่างไทย
ข้อมูลเปรียบเทียบจากธนาคารกรุงศรีอยุธยา
การเลือกประเภทหุ้นขึ้นกับวัตถุประสงค์หาเงิน โครงสร้างทุน และความต้องการรักษาการควบคุม
หุ้นสามัญ หุ้นบุริมสิทธิ และหุ้นกู้: ความแตกต่างกับเครื่องมือการลงทุนอื่น
นอกจากหุ้นสามัญและบุริมสิทธิ หุ้นกู้ หรือ Debenture ก็เป็นเครื่องมือที่นักลงทุนควรรู้จัก เพื่อจัดพอร์ตให้สมดุล
หุ้นกู้ (Debenture):
หุ้นกู้คือตราสารหนี้ที่บริษัทออกเพื่อหาเงิน ผู้ถือเป็นเจ้าหนี ไม่ใช่เจ้าของ ได้ดอกเบี้ยคงที่สม่ำเสมอและคืนเงินต้นครบกำหนด เสี่ยงต่ำเพราะได้ชำระก่อนหุ้นทุกประเภทถ้าล้มละลาย แต่ผลตอบแทนต่ำกว่าหุ้นทุน ในไทย หุ้นกู้มักใช้ในโครงการใหญ่ที่ต้องการเงินทุนมั่นคง
การเปรียบเทียบจากมุมนักลงทุน:
| คุณสมบัติ | หุ้นสามัญ | หุ้นบุริมสิทธิ | หุ้นกู้ |
|---|---|---|---|
| สถานะผู้ลงทุน | เจ้าของ (มีส่วนบริหาร) | เจ้าของ (ไม่มีส่วนบริหาร) | เจ้าหนี้ (ไม่มีส่วนบริหาร) |
| ผลตอบแทน | ปันผล (ไม่แน่นอน), ส่วนต่างราคา | ปันผล (คงที่), ส่วนต่างราคา (จำกัด) | ดอกเบี้ย (คงที่) |
| ความเสี่ยง | สูงสุด (ผันผวนตามผลงาน) | ปานกลาง (มั่นคงกว่าหุ้นสามัญ) | ต่ำสุด (ขึ้นกับความน่าเชื่อถือบริษัท) |
| สิทธิเรียกร้องเมื่อเลิกกิจการ | ลำดับสุดท้าย | รองจากเจ้าหนี้และหุ้นกู้ | ลำดับแรก (ก่อนหุ้นทุกประเภท) |
| สิทธิออกเสียง | มี | ไม่มี (โดยทั่วไป) | ไม่มี |
ในการจัดพอร์ต นักลงทุนใช้หุ้นกู้สร้างฐานมั่นคง หุ้นบุริมสิทธิเพิ่มผลตอบแทนปลอดภัย และหุ้นสามัญไล่ล่าเติบโตระยะยาว การผสมผสานช่วยสมดุลความเสี่ยงและเป้าหมายการเงิน
สรุป: เลือกหุ้นให้เหมาะกับสไตล์การลงทุนของคุณ
การรู้จักความต่างระหว่างหุ้นสามัญและหุ้นบุริมสิทธิ เป็นรากฐานสำหรับนักลงทุนใน SET หุ้นสามัญเปิดโอกาสเติบโตทุนสูงและมีส่วนบริหาร แต่เสี่ยงมากกว่า ส่วนหุ้นบุริมสิทธิให้รายได้ปันผลมั่นคงและสิทธิเรียกร้องก่อน แต่เติบโตราคาจำกัดและไม่มีเสียง
การเลือกควรยึดเป้าหมาย ระยะเวลา และความเสี่ยง ถ้าต้องการเติบโตและรับเสี่ยง หุ้นสามัญดี แต่ถ้าต้องการรายได้สม่ำเสมอ หุ้นบุริมสิทธิเหมาะกว่า
ไม่ว่าจะทางไหน การศึกษาบริษัท ธุรกิจ และข่าวเศรษฐกิจสำคัญมาก การกระจายพอร์ตด้วยหุ้นสามัญ บุริมสิทธิ และหุ้นกู้ ช่วยจัดการเสี่ยงและบรรลุเป้าหมายยั่งยืน
คำถามที่พบบ่อย (FAQs)
1. หุ้นสามัญและหุ้นบุริมสิทธิ มีความแตกต่างพื้นฐานที่สำคัญอย่างไร?
จุดต่างหลักคือสิทธิออกเสียงและการรับปันผล ผู้ถือหุ้นสามัญมีสิทธิลงคะแนนบริหารและได้ปันผลตามผลงานที่ไม่แน่นอน ขณะที่ผู้ถือหุ้นบุริมสิทธิส่วนใหญ่ไม่มีสิทธิออกเสียง แต่ได้ปันผลคงที่หรือตามอัตรา และได้รับก่อนหุ้นสามัญ
2. นักลงทุนไทยควรเลือกถือหุ้นสามัญหรือหุ้นบุริมสิทธิ ขึ้นอยู่กับเป้าหมายการลงทุนแบบไหน?
ขึ้นกับเป้าหมายหลัก:
- ถ้าเน้นเติบโตทุนระยะยาว มีส่วนบริหาร และรับเสี่ยงสูง เลือกหุ้นสามัญ
- ถ้าเน้นความมั่นคงรายได้ปันผลประจำและเสี่ยงต่ำ เลือกหุ้นบุริมสิทธิ
3. ถ้าบริษัทเลิกกิจการ ผู้ถือหุ้นสามัญและผู้ถือหุ้นบุริมสิทธิ จะได้รับสิทธิในการเรียกร้องสินทรัพย์ต่างกันอย่างไร?
ตอนบริษัทล้ม ผู้ถือหุ้นบุริมสิทธิได้ชำระก่อนหุ้นสามัญเสมอ แต่ยังหลังเจ้าหนี้นและหุ้นกู้ ส่วนหุ้นสามัญได้เป็นลำดับสุดท้าย
4. หุ้นบุริมสิทธิมีสิทธิพิเศษอะไรบ้างที่หุ้นสามัญไม่มี และทำไมถึงเป็นเช่นนั้น?
สิทธิพิเศษหลัก ได้แก่:
- รับปันผลก่อนและมักคงที่
- เรียกร้องทรัพย์สินก่อนตอนล้มละลาย
เพื่อชดเชยการไม่มีสิทธิออกเสียง และดึงดูดนักลงทุนที่ต้องการความมั่นคงรายได้ประจำ
5. การออกหุ้นสามัญหรือหุ้นบุริมสิทธิ มีผลต่อโครงสร้างทางการเงินและกลยุทธ์ของบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ไทยอย่างไร?
- หุ้นสามัญ: เพิ่มทุนและฐานเจ้าของ แต่ลดสัดส่วนสิทธิเดิม
- หุ้นบุริมสิทธิ: เพิ่มทุนโดยไม่กระทบสิทธิออกเสียง แต่มีพันธะปันผลคล้ายหนี้
การเลือกขึ้นกับความต้องการหาเงิน รักษาการควบคุม และความยืดหยุ่นทางการเงิน
6. หุ้นกู้แตกต่างจากหุ้นสามัญและหุ้นบุริมสิทธิอย่างไรในมุมมองของนักลงทุน?
หุ้นกู้คือตราสารหนี้ ผู้ลงทุนเป็นเจ้าหนี้ ได้ดอกเบี้ยคงที่และคืนเงินต้นครบกำหนด เสี่ยงต่ำสุดและชำระก่อน ขณะที่หุ้นสามัญและบุริมสิทธิเป็นทุน ผู้ลงทุนเป็นเจ้าของ เสี่ยงและผลตอบแทนสูงกว่า
7. หุ้นสามัญสามารถแปลงเป็นหุ้นบุริมสิทธิได้หรือไม่ และมีเงื่อนไขอย่างไรในประเทศไทย?
โดยปกติไม่สามารถแปลงตรงๆ เพราะสิทธิและลักษณะต่างกัน แต่บางกรณีบริษัทอาจปรับโครงสร้างทุนหรือเสนอหุ้นบุริมสิทธิให้ผู้ถือหุ้นสามัญเดิม ภายใต้เงื่อนไขที่กำหนด ต้องผ่านมติที่ประชุมและกฎ ก.ล.ต. กับ SET
8. มีตัวอย่างบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ไทยที่ออกทั้งหุ้นสามัญและหุ้นบุริมสิทธิหรือไม่?
มีหลายบริษัทใน SET เช่น กลุ่มธนาคารพาณิชย์หรือบริษัทใหญ่ที่ต้องการนักลงทุนหลากหลาย หุ้นบุริมสิทธิ มักมี “-P” หรือ “-Pr” ต่อท้าย เช่น SCB-P, KBANK-P เพื่อบอกว่าเป็นหุ้นบุริมสิทธิ
9. การลงทุนในหุ้นบุริมสิทธิมีความเสี่ยงน้อยกว่าหุ้นสามัญจริงหรือไม่ และมีข้อควรระวังอะไรบ้าง?
จริง โดยทั่วไปเสี่ยงน้อยกว่าเพราะปันผลแน่นอนและเรียกร้องก่อน แต่ควรระวัง: เติบโตราคาจำกัด สภาพคล่องต่ำกว่า และยังเสี่ยงถ้าบริษัทล้มหนักจนจ่ายไม่ได้
10. ผู้ถือหุ้นสามัญมีสิทธิในการควบคุมบริษัทมากกว่าผู้ถือหุ้นบุริมสิทธิอย่างไร?
ผู้ถือหุ้นสามัญควบคุมมากกว่าเพราะมีสิทธิออกเสียงในที่ประชุม เช่น เลือกบอร์ด อนุมัตินโยบาย และปรับข้อบังคับ ทำให้มีอิทธิพลต่อทิศทางธุรกิจโดยตรง ขณะที่หุ้นบุริมสิทธิไม่มีสิทธิเหล่านี้โดยปกติ