money flow index คืออะไร? 5 สัญญาณ MFI ที่นักลงทุนต้องรู้เพื่อจับจุดกลับตัว

Money Flow Index (MFI) คืออะไร? ทำความเข้าใจดัชนีวัดกระแสเงิน

ดัชนี Money Flow Index หรือที่คนไทยในวงการลงทุนมักเรียกสั้น ๆ ว่า MFI คือเครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคที่ช่วยติดตามการเคลื่อนไหวของเงินทุนที่เข้าหรือออกจากสินทรัพย์ต่าง ๆ โดยเฉพาะในตลาดหุ้นและตลาดอัตราแลกเปลี่ยนหรือ Forex อะไรที่ทำให้ MFI โดดเด่นก็คือการนำข้อมูลทั้งราคาและปริมาณการซื้อขายมาผสานกัน เพื่อเผยให้เห็นถึงแรงซื้อและแรงขายที่เกิดขึ้นจริงในตลาด

ภาพประกอบการไหลเข้าออกของเงินทุนในสินทรัพย์ทางการเงินพร้อมกราฟและแท่งปริมาณการซื้อขายในสภาพแวดล้อมการเทรดดิจิทัล

MFI: นิยามและหลักการทำงาน

ดัชนี MFI เกิดขึ้นเพื่อช่วยประเมินความเข้มข้นของกระแสเงินทุน โดยอาศัยราคาเฉลี่ยของสินทรัพย์ที่เรียกว่า Typical Price ร่วมกับปริมาณการซื้อขายในแต่ละช่วงเวลา หลักการพื้นฐานคือการตรวจสอบว่าเมื่อราคาขึ้น มีเงินทุนไหลเข้ามากแค่ไหน และเมื่อราคาลง มีเงินทุนไหลออกมากน้อยอย่างไร ด้วยเหตุนี้ MFI จึงกลายเป็นตัวชี้วัดที่ให้ความสำคัญกับปริมาณการซื้อขายโดยถ่วงน้ำหนักด้วยราคา ช่วยให้มองเห็นอารมณ์และพฤติกรรมของนักลงทุนได้ชัดเจนยิ่งขึ้น

ภาพประกอบมือคำนวณราคาเฉลี่ยจากราคาสูงสุด ต่ำสุด และปิด พร้อมสัญลักษณ์เงินและลูกศรกับปริมาณการซื้อขาย

ทำไมต้องใช้ MFI? บทบาทในการวิเคราะห์ตลาด

นักลงทุนหลายคนหันมาใช้ MFI เพราะมันช่วยตอบโจทย์หลายด้านในการศึกษาตลาด

  • วัดแรงซื้อและแรงขาย: ช่วยให้เห็นภาพชัดเจนกว่าการดูราคาเพียงอย่างเดียว ว่ามีแรงผลักดันจริง ๆ อยู่เบื้องหลังหรือไม่
  • ยืนยันแนวโน้ม: การเปลี่ยนแปลงของ MFI สามารถบอกได้ว่าแนวโน้มราคาปัจจุบันแข็งแกร่งแค่ไหน หรือกำลังจะพลิกผัน
  • หาสัญญาณซื้อมากเกินหรือขายมากเกิน: MFI มีจุดอ้างอิงที่บอกว่าสินทรัพย์อยู่ในภาวะ overbought หรือ oversold ซึ่งมักนำไปสู่การกลับตัวของราคา
  • ต่างจาก RSI อย่างไร: แม้จะคล้ายกับ Relative Strength Index แต่ MFI ดีกว่าเพราะรวมข้อมูลปริมาณการซื้อขายเข้าไป ทำให้ให้มุมมองที่ลึกซึ้งกว่าเกี่ยวกับแรงขับเคลื่อนราคา
ภาพประกอบนักเทรดกำลังดูหน้าจอกราฟกับเส้น MFI ที่แสดงโซน overbought oversold และการเบี่ยงเบน

วิธีคำนวณ Money Flow Index (MFI) อย่างละเอียด

การรู้จักวิธีคำนวณ MFI จะช่วยให้นักลงทุนนำไปใช้ได้อย่างมั่นใจ แม้แพลตฟอร์มเทรดส่วนใหญ่จะทำการคำนวณให้อัตโนมัติ แต่การเข้าใจกระบวนการจะทำให้การตีความสัญญาณแม่นยำขึ้น ขั้นตอนการคำนวณมีหลายส่วนที่เชื่อมโยงกันอย่างเป็นระบบ

ส่วนประกอบสำคัญ: Typical Price และ Money Flow

  1. คำนวณราคาเฉลี่ยหรือ Typical Price: เริ่มต้นด้วยการหาค่าเฉลี่ยจากราคาสูงสุด ต่ำสุด และราคาปิดของแต่ละช่วงเวลา

    สูตร: Typical Price = (High + Low + Close) / 3

  2. หาค่า Money Flow: นำราคาเฉลี่ยมาคูณกับปริมาณการซื้อขายในช่วงนั้น เพื่อได้ตัวเลขที่แสดงถึงกระแสเงิน

    สูตร: Money Flow = Typical Price × Volume

สูตร MFI: จาก Positive/Negative Money Flow สู่ MFI Ratio

หลังจากนั้น เราจะแยกกระแสเงินออกเป็นส่วนที่ไหลเข้าและไหลออก จากนั้นนำมาหาอัตราส่วนและแปลงเป็นดัชนี MFI

  1. แยก Positive Money Flow (PMF) และ Negative Money Flow (NMF):

    • Positive Money Flow: ถ้าราคาเฉลี่ยของช่วงปัจจุบันสูงกว่าระยะก่อนหน้า ค่า Money Flow จะนับเป็นส่วนไหลเข้า
    • Negative Money Flow: ถ้าราคาเฉลี่ยต่ำกว่าระยะก่อนหน้า ค่า Money Flow จะนับเป็นส่วนไหลออก
    • ถ้าราคาเฉลี่ยเท่าเดิม จะไม่นับค่า Money Flow ในรอบนั้น
  2. รวมยอดรวม PMF และ NMF: นำค่าทั้งหมดมารวมย้อนหลังตามจำนวนช่วงเวลาที่ตั้งไว้ โดยปกติคือ 14 ช่วง

  3. หา Money Flow Ratio (MFR):

    สูตร: Money Flow Ratio = (Total Positive Money Flow) / (Total Negative Money Flow)

  4. แปลงเป็น Money Flow Index (MFI): นำอัตราส่วนมาคำนวณให้อยู่ในช่วง 0 ถึง 100

    สูตร: MFI = 100 – (100 / (1 + Money Flow Ratio))

    เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนยิ่งขึ้น ลองดูตารางสรุปขั้นตอน:

    ขั้นตอน รายละเอียด สูตร
    1. Typical Price ราคาเฉลี่ยของแท่งเทียน (High + Low + Close) / 3
    2. Money Flow กระแสเงินที่เข้าออกในแต่ละช่วง Typical Price × Volume
    3. Positive/Negative Money Flow ระบุกระแสเงินไหลเข้า/ออก เปรียบเทียบ Typical Price ปัจจุบันกับก่อนหน้า
    4. Total Positive/Negative Money Flow รวม PMF และ NMF ย้อนหลัง (มักใช้ 14 Period) ผลรวมของ PMF / NMF ในช่วงเวลาที่กำหนด
    5. Money Flow Ratio อัตราส่วนกระแสเงิน Total Positive Money Flow / Total Negative Money Flow
    6. Money Flow Index (MFI) ดัชนี MFI (0-100) 100 – (100 / (1 + Money Flow Ratio))

การตีความ MFI: สัญญาณสำคัญที่นักเทรดควรรู้

เมื่อเข้าใจการคำนวณแล้ว สิ่งที่ตามมาคือการนำค่าที่ได้ไปตีความเพื่อช่วยตัดสินใจซื้อขาย MFI มีสัญญาณหลัก ๆ ที่นักเทรดไม่ควรพลาด

ระดับ Overbought (ซื้อมากเกินไป) และ Oversold (ขายมากเกินไป)

MFI เคลื่อนไหวระหว่าง 0 ถึง 100 โดยมีจุดสำคัญที่บ่งบอกถึงภาวะซื้อมากเกินหรือขายมากเกิน

  • Overbought: มักอยู่ที่ 80 ขึ้นไป หรือบางครั้ง 90 เมื่อเข้าถึงระดับนี้ แสดงว่าสินทรัพย์ถูกซื้อจนเกินพอดี ราคาอาจหันหัวลงได้เร็ว ๆ นี้
  • Oversold: มักอยู่ที่ 20 ลงมา หรือบางครั้ง 10 เมื่อเข้าถึงระดับนี้ แสดงว่าถูกขายจนเกินพอดี ราคาอาจเด้งกลับขึ้นมา

สัญญาณเหล่านี้ช่วยให้มองหาจังหวะกลับตัว แต่ไม่ใช่ทุกครั้งที่ราคาจะพลิกทันที ควรพิจารณาร่วมกับปัจจัยอื่นเพื่อความรอบคอบ

MFI Divergence (การเบี่ยงเบน): สัญญาณเตือนการกลับตัวของแนวโน้ม

หนึ่งในสัญญาณที่ทรงพลังที่สุดของ MFI คือการเบี่ยงเบน ซึ่งเกิดจากความไม่สอดคล้องระหว่างราคาและดัชนี สัญญาณนี้มักเตือนถึงการเปลี่ยนทิศทางของแนวโน้ม

  • Bullish Divergence: ราคาทำจุดต่ำใหม่ แต่ MFI กลับทำจุดต่ำที่สูงขึ้น แสดงว่าแรงขายเริ่มอ่อนตัว อาจนำไปสู่การขึ้นของราคา

  • Bearish Divergence: ราคาทำจุดสูงใหม่ แต่ MFI กลับทำจุดสูงที่ต่ำลง แสดงว่าแรงซื้อเริ่มแผ่ว อาจนำไปสู่การลงของราคา

การเบี่ยงเบนแบบนี้ช่วยให้นักลงทุนเตรียมตัวรับมือกับการพลิกผัน แม้ราคาจะยังไปในทิศเดิม

การยืนยันแนวโน้มด้วย MFI

นอกจากหาจุดกลับตัว MFI ยังช่วยยืนยันว่าแนวโน้มปัจจุบันแข็งแกร่งหรือไม่

  • แนวโน้มขาขึ้น: ถ้าราคาขึ้นและ MFI ขึ้นตาม แสดงว่ามีเงินทุนไหลเข้ามาสนับสนุนอย่างต่อเนื่อง
  • แนวโน้มขาลง: ถ้าราคาลงและ MFI ลงตาม แสดงว่ามีเงินทุนไหลออกอย่างชัดเจน

MFI vs. CMF (Chaikin Money Flow): ความแตกต่างและการเลือกใช้

ทั้ง MFI และ Chaikin Money Flow หรือ CMF ล้วนเป็นเครื่องมือวัดกระแสเงิน แต่ต่างกันในวิธีคำนวณและการตีความ การรู้จุดต่างจะช่วยเลือกใช้ให้ตรงกับกลยุทธ์และสถานการณ์ตลาด

คุณสมบัติ Money Flow Index (MFI) Chaikin Money Flow (CMF)
หลักการคำนวณ เน้นการเปรียบเทียบ Typical Price กับแท่งเทียนก่อนหน้าเพื่อหา Positive/Negative Money Flow แล้วนำมาคำนวณเป็นดัชนี 0-100 เน้นตำแหน่งของราคาปิดในแต่ละแท่งเทียน (ใกล้ High หรือ Low) แล้วนำมาคูณกับ Volume
ช่วงค่า 0 ถึง 100 -1 ถึง +1
การตีความ (Overbought/Oversold) ชัดเจนที่ระดับ 80/20 หรือ 90/10 ไม่มีระดับ Overbought/Oversold ที่ตายตัว แต่ดูจากการเคลื่อนไหวเหนือ/ใต้เส้นศูนย์ (0)
การตีความ (แนวโน้ม) ใช้ยืนยันแนวโน้มและหา Divergence ได้ดี ใช้ยืนยันแนวโน้ม (CMF เหนือ 0 บ่งชี้แรงซื้อ, ต่ำกว่า 0 บ่งชี้แรงขาย) และหา Divergence ได้
การให้ความสำคัญ ให้ความสำคัญกับทิศทางของ Typical Price และปริมาณการซื้อขาย ให้ความสำคัญกับตำแหน่งของราคาปิดเทียบกับช่วงราคาของแท่งเทียนและปริมาณการซื้อขาย
ความไวต่อราคา ตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของราคาและ Volume พร้อมกัน ตอบสนองต่อราคาปิดเป็นหลัก อาจช้ากว่า MFI ในบางสภาวะ

สรุปความแตกต่าง:

  • MFI: เน้นตรวจสอบการไหลเข้าออกของเงินโดยดูจากความเปลี่ยนแปลงของราคาเฉลี่ยและปริมาณการซื้อขาย คล้าย RSI แต่เพิ่มมิติปริมาณเข้าไป
  • CMF: เน้นดูว่าราคาปิดอยู่ใกล้จุดสูงสุดหรือต่ำสุดของช่วงราคาไหน โดยถ่วงน้ำหนักด้วยปริมาณ ถ้าราคาปิดใกล้สูงสุดและปริมาณสูง แสดงถึงแรงซื้อที่แข็งแกร่ง

การเลือกใช้:

การตัดสินใจเลือก MFI หรือ CMF ควรดูจากสไตล์การเทรดและลักษณะตลาด

  • ถ้าต้องการเครื่องมือที่มีจุด overbought/oversold ชัดเจนและเก่งเรื่อง divergence กับกระแสเงิน MFI จะเหมาะกว่า
  • ถ้าต้องการวิเคราะห์ว่าแรงซื้อหรือขายผลักราคาปิดไปทางไหน CMF อาจให้ข้อมูลที่ละเอียดกว่า

ในทางปฏิบัติ นักลงทุนหลายคนนำทั้งสองมาใช้คู่กันเพื่อยืนยันสัญญาณ ทำให้การตัดสินใจมีน้ำหนักมากขึ้น

กลยุทธ์การเทรดด้วย MFI: เพิ่มประสิทธิภาพการตัดสินใจ

MFI เป็นเครื่องมือที่ช่วยหาจังหวะซื้อขายได้ดี แต่ผลลัพธ์จะยิ่งเด่นเมื่อนำมารวมกับตัวชี้วัดอื่นหรือการดูรูปแบบราคา การใช้เดี่ยว ๆ อาจเจอสัญญาณหลอก โดยเฉพาะในตลาดที่แกว่งไกว

การใช้ MFI ร่วมกับ RSI และ MACD

การผสม MFI กับเครื่องมืออื่นช่วยยืนยันสัญญาณและลดความเสี่ยง

  • MFI + RSI: ทั้งสองคล้ายกันในเรื่อง overbought/oversold แต่ MFI มีข้อมูลปริมาณเพิ่ม ถ้าทั้งคู่ให้สัญญาณเดียวกันหรือมี divergence ร่วมกัน จะเป็นจุดที่เชื่อถือได้ เช่น ถ้า RSI และ MFI เข้า overbought พร้อม bearish divergence อาจเป็นเวลาขายที่ดี

  • MFI + MACD: MACD เก่งเรื่องแนวโน้มและโมเมนตัม ถ้า MFI แสดง bullish divergence และ MACD เกิด golden cross (เส้น MACD ตัด signal ขึ้น) จะเป็นสัญญาณซื้อที่แข็งแกร่ง การรวมสัญญาณจากหลายตัวบ่งชี้ ช่วยเพิ่มความมั่นใจ

MFI กับการวิเคราะห์ Volume ในตลาดไทย (SET)

สำหรับนักลงทุนในไทย MFI ช่วยวิเคราะห์ตลาดหุ้น SET ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น

  • หุ้นขนาดใหญ่: หุ้นใหญ่ใน SET มีสภาพคล่องดีและปริมาณซื้อขายสม่ำเสมอ MFI ช่วยเห็นกระแสเงินชัดเจน ถ้าเข้าสู่ oversold ในหุ้นพื้นฐานแข็ง อาจเป็นโอกาสซื้อ
  • หุ้นที่มีข่าว: เมื่อมีข่าวดีหรือร้าย MFI จะบอกว่าปริมาณซื้อขายตอบสนองอย่างไร ถ้าข่าวดีและ MFI พุ่งขึ้นพร้อม volume สูง แสดงถึงแรงซื้อจริง
  • ตรวจ divergence ใน SET: ใช้หาจุดพลิกผัน เช่น ถ้าหุ้น PTT ทำจุดต่ำใหม่แต่ MFI แสดง bullish divergence แสดงว่าแรงขายลดลง อาจเด้งขึ้นได้

ข้อควรระวังและข้อจำกัดของ MFI

ถึง MFI จะดี แต่ก็มีจุดอ่อนที่ต้องระวัง

  • สัญญาณหลอก: ในตลาด sideway หรือผันผวนสูง อาจมีสัญญาณ overbought/oversold บ่อยโดยราคาไม่พลิกจริง
  • Lagging Indicator: MFI ตามหลังราคา ยืนยันสิ่งที่เกิดแล้ว ไม่ใช่ทำนายอนาคตแบบสมบูรณ์
  • ไม่ใช้เดี่ยว: อย่าพึ่ง MFI เพียงตัวเดียว ควรรวมกับรูปแบบราคา แนวรับต้าน ตัวชี้วัดอื่น หรือปัจจัยพื้นฐาน
  • ปรับ period: การเปลี่ยน period (จาก 14 เป็น 10 หรือ 20) กระทบความไว ถ้าสั้นเกินจะสัญญาณบ่อย ถ้ายาวเกินจะช้า

วิธีตั้งค่าและใช้งาน MFI บนแพลตฟอร์มยอดนิยม

การติดตั้ง MFI บนแพลตฟอร์มเทรดทำได้ง่ายและคล้ายกัน

  • TradingView:
    1. เปิดกราฟที่ต้องการ
    2. คลิกปุ่ม Indicators (รูป f(x))
    3. ค้นหา “Money Flow Index” หรือ “MFI”
    4. เพิ่มลงกราฟ
    5. ปรับ period ผ่านไอคอน settings (รูปเฟือง) โดยปกติใช้ 14
  • MetaTrader 4/5 (MT4/MT5):
    1. เปิดกราฟ
    2. ไป Insert > Indicators > Volumes
    3. เลือก Money Flow Index
    4. ปรับ period (ปกติ 14) และสี
    5. กด OK เพื่อเพิ่ม

period 14 เป็นค่าเริ่มต้นที่เหมาะสม แต่สามารถปรับให้เข้ากับสินทรัพย์และ timeframe ได้

สรุป: MFI เครื่องมือสำคัญในคลังของนักเทรด

Money Flow Index หรือ MFI คือตัวชี้วัดทางเทคนิคที่ช่วยให้นักลงทุนเข้าใจกระแสเงินทุนจริงในตลาดได้ลึกซึ้ง การผสมราคาและปริมาณซื้อขายทำให้ MFI แตกต่างจากตัวชี้วัดโมเมนตัมอื่น ๆ อย่าง RSI และให้ข้อมูลที่ร่ำรวยกว่า

ไม่ว่าจะใช้หา overbought/oversold ค้น divergence เพื่อคาดการกลับตัว หรือยืนยันแนวโน้ม MFI ล้วนมีประโยชน์ การนำไปใช้คู่กับ RSI MACD หรือรูปแบบราคาจะช่วยให้สัญญาณแม่นยำขึ้นและลดความเสี่ยง

สำหรับนักลงทุนไทย MFI ใช้ได้ดีทั้งใน SET และ Forex การฝึกใช้จริงพร้อมจัดการความเสี่ยงจะช่วยให้ดึงศักยภาพของ MFI ออกมาเต็มที่ กลายเป็นส่วนสำคัญในการตัดสินใจที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล

Money Flow Index (MFI) คืออะไร และแตกต่างจาก Volume Indicator ทั่วไปอย่างไร?

MFI คือดัชนีทางเทคนิคที่ใช้วัดแรงซื้อแรงขายหรือกระแสเงินที่ไหลเข้าและออกจากสินทรัพย์ โดยคำนวณจากทั้งราคา (Typical Price) และปริมาณการซื้อขาย (Volume) ในขณะที่ Volume Indicator ทั่วไปมักจะแสดงแค่ปริมาณการซื้อขายเพียงอย่างเดียว MFI จึงมีความโดดเด่นกว่าเพราะเป็นการถ่วงน้ำหนักปริมาณด้วยราคา ทำให้สะท้อนถึงแรงผลักดันที่อยู่เบื้องหลังการเคลื่อนไหวของราคาได้ชัดเจนยิ่งขึ้น

ค่า MFI ที่เหมาะสมสำหรับการวิเคราะห์แนวโน้มควรเป็นเท่าใด?

ค่า MFI โดยทั่วไปจะใช้ Period ที่ 14 ช่วงเวลา (เช่น 14 แท่งเทียน) ซึ่งเป็นค่ามาตรฐานที่นิยมและให้สัญญาณที่มีความสมดุลระหว่างความไวและความน่าเชื่อถือ อย่างไรก็ตาม นักลงทุนสามารถทดลองปรับค่า Period ให้สั้นลง (เช่น 10) เพื่อให้ MFI มีความไวมากขึ้น หรือยาวขึ้น (เช่น 20) เพื่อให้สัญญาณมีความนุ่มนวลและน่าเชื่อถือมากขึ้น ขึ้นอยู่กับกรอบเวลาและสไตล์การเทรด

MFI มีสัญญาณเตือน Overbought/Oversold ที่ระดับใด และควรตอบสนองอย่างไร?

ระดับ Overbought (ซื้อมากเกินไป) ของ MFI คือ 80 ขึ้นไป (บางครั้งใช้ 90) และระดับ Oversold (ขายมากเกินไป) คือ 20 ลงมา (บางครั้งใช้ 10) เมื่อ MFI เข้าสู่โซนเหล่านี้ บ่งชี้ว่าราคาอาจมีการกลับตัว นักลงทุนควรใช้สัญญาณเหล่านี้เป็นจุดเริ่มต้นในการพิจารณาเพื่อหาจังหวะการกลับตัว แต่ไม่ควรตัดสินใจซื้อขายทันที ควรยืนยันด้วยสัญญาณจากตัวบ่งชี้อื่น ๆ หรือรูปแบบราคา

MFI Divergence คืออะไร และมีวิธีสังเกตเพื่อหาจุดกลับตัวของราคาได้อย่างไร?

MFI Divergence คือความขัดแย้งระหว่างทิศทางของราคาและทิศทางของ MFI โดยแบ่งเป็น:

  • Bullish Divergence: ราคาสร้างจุดต่ำสุดใหม่ แต่ MFI สร้างจุดต่ำสุดที่สูงขึ้น (ยก Low) บ่งชี้ว่าแรงขายกำลังอ่อนแอลง อาจเกิดการกลับตัวเป็นขาขึ้น
  • Bearish Divergence: ราคาสร้างจุดสูงสุดใหม่ แต่ MFI สร้างจุดสูงสุดที่ต่ำลง (กด High) บ่งชี้ว่าแรงซื้อกำลังอ่อนแอลง อาจเกิดการกลับตัวเป็นขาลง

วิธีสังเกตคือการเปรียบเทียบจุดสูงสุด/ต่ำสุดของราคากับจุดสูงสุด/ต่ำสุดของ MFI บนกราฟ

MFI กับ RSI ต่างกันอย่างไร และควรใช้ตัวไหนในสถานการณ์ใด?

MFI และ RSI ต่างกันที่ MFI ใช้ทั้งราคาและปริมาณการซื้อขายในการคำนวณ ในขณะที่ RSI ใช้เพียงราคาเท่านั้น ทำให้ MFI เป็นตัวบ่งชี้ที่รวม Volume เข้ามาด้วย

  • ใช้ MFI: เมื่อต้องการพิจารณาถึงความแข็งแกร่งของกระแสเงินที่แท้จริง และเมื่อปริมาณการซื้อขายมีความสำคัญต่อการตัดสินใจ
  • ใช้ RSI: เมื่อต้องการวัดโมเมนตัมของราคาเพียงอย่างเดียว โดยไม่คำนึงถึงปริมาณ

นักลงทุนมักใช้ทั้งคู่ร่วมกันเพื่อยืนยันสัญญาณ โดยเฉพาะสัญญาณ Divergence ที่เกิดพร้อมกันจะมีความน่าเชื่อถือสูง

Chaikin Money Flow (CMF) แตกต่างจาก MFI อย่างไร และนักลงทุนไทยควรพิจารณาใช้ตัวไหนดี?

CMF เน้นที่ตำแหน่งของราคาปิดในแต่ละแท่งเทียนว่าอยู่ใกล้จุดสูงสุดหรือต่ำสุดของช่วงราคา (High-Low Range) ผสมกับ Volume ในขณะที่ MFI เปรียบเทียบ Typical Price กับแท่งเทียนก่อนหน้าเพื่อระบุ Positive/Negative Money Flow

  • CMF: มีค่าระหว่าง -1 ถึง +1 CMF เหนือ 0 บ่งชี้แรงซื้อ CMF ต่ำกว่า 0 บ่งชี้แรงขาย
  • MFI: มีค่าระหว่าง 0 ถึง 100 มีระดับ Overbought/Oversold ที่ชัดเจน

นักลงทุนไทยควรพิจารณาใช้ตัวที่สอดคล้องกับกลยุทธ์ หากต้องการวัดกระแสเงินที่ชัดเจนพร้อม Overbought/Oversold MFI เหมาะกว่า หากต้องการดูแรงซื้อแรงขายที่ผลักราคาปิด CMF อาจให้ข้อมูลที่ดีกว่า การใช้ทั้งคู่ร่วมกันก็เป็นทางเลือกที่ดี

MFI สามารถใช้ในการเทรดหุ้นไทย (SET) หรือ Forex ได้อย่างมีประสิทธิภาพหรือไม่? มีข้อควรระวังอะไรบ้าง?

MFI สามารถใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพในทั้งตลาดหุ้นไทย (SET) และตลาด Forex เนื่องจากหลักการวัดกระแสเงินเป็นสากลและใช้ได้กับสินทรัพย์ที่มีปริมาณการซื้อขาย ข้อควรระวังคือ:

  • สภาพคล่อง: ในหุ้นไทยที่มีสภาพคล่องต่ำ MFI อาจเกิดสัญญาณหลอกได้ง่ายกว่าหุ้นขนาดใหญ่
  • ข่าวสาร: ตลาดไทยอาจได้รับผลกระทบจากข่าวสารภายในประเทศมาก การใช้ MFI ควรพิจารณาร่วมกับปัจจัยข่าวสารด้วย
  • ตลาดผันผวน: ในช่วงที่ตลาดผันผวนสูง MFI อาจส่งสัญญาณ Overbought/Oversold บ่อยครั้งโดยที่ราคายังคงเคลื่อนไหวในทิศทางเดิม

ควรใช้ MFI ร่วมกับดัชนีทางเทคนิคอื่น ๆ อย่างไร เพื่อให้ได้สัญญาณที่แม่นยำยิ่งขึ้น?

การใช้ MFI ร่วมกับดัชนีอื่นๆ ช่วยเพิ่มความแม่นยำและลดสัญญาณหลอก:

  • RSI/Stochastic: ใช้ยืนยันสัญญาณ Overbought/Oversold หรือ Divergence หาก MFI และ RSI/Stochastic ส่งสัญญาณเดียวกัน จะเป็นสัญญาณที่แข็งแกร่งกว่า
  • MACD/Moving Averages: ใช้ยืนยันแนวโน้ม หาก MFI ส่งสัญญาณซื้อขายที่สอดคล้องกับทิศทางแนวโน้มที่ MACD หรือ Moving Averages บ่งชี้ จะเป็นการเพิ่มความมั่นใจในการตัดสินใจ
  • รูปแบบราคา/แนวรับแนวต้าน: ใช้ MFI เพื่อยืนยันสัญญาณการ Breakout หรือ Reversal เมื่อราคาทดสอบแนวรับแนวต้านสำคัญ

MFI มีข้อจำกัดหรือข้อเสียที่นักลงทุนควรรู้ก่อนนำไปใช้งานจริงหรือไม่?

ใช่ MFI มีข้อจำกัดดังนี้:

  • สัญญาณหลอก: อาจเกิดสัญญาณหลอกได้ในตลาด Sideways หรือตลาดที่มีความผันผวนสูง
  • Lagging Indicator: MFI เป็นตัวบ่งชี้ที่ตามหลังราคา ไม่ได้ทำนายอนาคต
  • ไม่ควรใช้เดี่ยวๆ: การพึ่งพา MFI เพียงอย่างเดียวอาจทำให้เกิดความผิดพลาด ควรใช้ร่วมกับการวิเคราะห์อื่นๆ เสมอ
  • การตั้งค่า Period: การเลือก Period ที่ไม่เหมาะสมอาจทำให้สัญญาณไวเกินไปหรือช้าเกินไป

การตั้งค่า MFI บนแพลตฟอร์มเช่น TradingView หรือ MetaTrader ควรปรับ Period เป็นเท่าไหร่ดี?

ค่า Period มาตรฐานที่นิยมใช้และแนะนำสำหรับ MFI บนแพลตฟอร์มส่วนใหญ่ เช่น TradingView หรือ MetaTrader คือ 14 ช่วงเวลา (เช่น 14 แท่งเทียน) ค่านี้ถือเป็นจุดสมดุลที่ดีที่ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าให้สัญญาณที่มีความน่าเชื่อถือ อย่างไรก็ตาม นักลงทุนสามารถทดลองปรับค่านี้ให้เหมาะสมกับสไตล์การเทรด, กรอบเวลาที่ใช้ และลักษณะของสินทรัพย์ที่กำลังวิเคราะห์ได้

發佈留言

發佈留言必須填寫的電子郵件地址不會公開。 必填欄位標示為 *