บทนำ: Buy the Dip คืออะไร? กลยุทธ์ที่นักลงทุนไทยควรรู้จัก
กลยุทธ์ “Buy the Dip” หรือการซื้อหุ้นในช่วงที่ราคาตกชั่วคราว ถือเป็นวิธีการลงทุนที่ได้รับความชื่นชอบอย่างมากในตลาดหุ้น โดยเฉพาะสำหรับผู้ที่อยากคว้าโอกาสทำกำไรจากความแกว่งไกวของราคา หลักการสำคัญคือการเลือกซื้อหุ้นที่มีคุณภาพดีและโอกาสเติบโตในระยะยาว แม้ราคาจะลดลงชั่วคราวจากปัจจัยบางอย่าง โดยคาดว่าราคาจะกลับมาฟื้นตัวในอนาคต ซึ่งช่วยให้ขายได้ในราคาที่สูงขึ้น หรือช่วยถัวเฉลี่ยต้นทุนการถือครองให้ต่ำลง

เสน่ห์ของกลยุทธ์นี้อยู่ที่โอกาสได้สินทรัพย์ดีๆ ในราคาที่ถูกลง แต่ก็มาพร้อมความเสี่ยงที่ต้องระวัง หากการตกของราคาไม่ใช่แค่การปรับฐานชั่วคราว แต่เป็นจุดเริ่มต้นของการร่วงลงยาวนาน บทความนี้จะพาคุณสำรวจสาระสำคัญของ Buy the Dip ทั้งด้านโอกาสและอุปสรรค พร้อมคำแนะนำและข้อควรระวังสำหรับนักลงทุนไทย เพื่อนำไปปรับใช้ในตลาดหุ้นอย่างมีสติและปลอดภัย
ถอดรหัส “Dip”: แยกแยะการปรับฐานกับการทรุดตัวของราคาหุ้น
“Dip” (การปรับฐานชั่วคราว) คืออะไรในบริบทตลาดหุ้นไทย?
ในตลาดหุ้นไทย คำว่า “Dip” หมายถึงการลดลงของราคาหุ้นหรือดัชนี SET ในช่วงสั้นๆ ซึ่งส่วนใหญ่มักเกิดจากเหตุผลชั่วคราว เช่น การตอบสนองต่อข่าวไม่ดีระยะสั้น การปรับสมดุลพอร์ตของนักลงทุนใหญ่ หรือแรงกระเพื่อมจากตลาดโลก แม้พื้นฐานของบริษัทหรือเศรษฐกิจโดยรวมยังคงมั่นคง การปรับฐานแบบนี้เป็นส่วนปกติของตลาดที่แข็งแรง และเปิดโอกาสให้นักลงทุนเข้าซื้อในราคาที่ต่ำกว่ามูลค่าจริง ก่อนที่ราคาจะกลับขึ้นสู่แนวโน้มเดิม

“มีดบิน” (Falling Knife) กับ “แนวโน้มขาลง” แตกต่างจาก Dip อย่างไร?
สิ่งที่นักลงทุนต้องคอยจับตาและแยกให้ชัดเจนคือ ความต่างระหว่าง “Dip” กับ “มีดบิน” หรือแนวโน้มขาลงที่แท้จริง “มีดบิน” คือสถานการณ์ที่ราคาหุ้นตกลงอย่างหนักและไม่หยุดยั้ง มักเกิดจากปัญหาพื้นฐานของบริษัทที่เสื่อมโทรม เช่น ผลประกอบการแย่ติดต่อกัน วิกฤตภายในองค์กร หรือการเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรมที่กระทบหนัก หากพยายามซื้อในช่วงนี้ อาจนำไปสู่ความสูญเสียครั้งใหญ่ เพราะราคาอาจไม่ฟื้นหรือต้องรอนานมาก การรู้จักแยกแยะจึงเป็นกุญแจสำคัญในการตัดสินใจลงทุนที่ถูกต้อง
ทำไม Buy the Dip ถึงเป็นที่นิยม? ข้อดีและโอกาสที่ต้องไขว่คว้า
กลยุทธ์ Buy the Dip ได้รับความนิยมเพราะนำเสนอประโยชน์และโอกาสที่น่าดึงดูดใจสำหรับนักลงทุน ดังนี้

- โอกาสทำกำไรสูง: เมื่อซื้อในช่วงราคาตกและราคากลับขึ้นตามที่คาด ผู้ลงทุนจะได้ผลตอบแทนดีกว่าการซื้อในราคาปกติ เพราะได้สินทรัพย์ในราคาถูก
- ถัวเฉลี่ยต้นทุนให้ต่ำลง: สำหรับผู้ที่ถือหุ้นอยู่แล้ว การซื้อเพิ่มในช่วงนี้ช่วยลดต้นทุนเฉลี่ยต่อหุ้น ซึ่งส่งผลดีต่อกำไรระยะยาว
- ใช้ประโยชน์จากความแกว่งไกว: ตลาดหุ้นขึ้นลงเป็นธรรมดา วิธีนี้ช่วยให้นักลงทุนคว้าประโยชน์จากความผันผวนและอารมณ์ตลาดที่ทำให้ราคาตกชั่วคราว แม้พื้นฐานยังดี
- เสริมการลงทุนแบบ DCA: สามารถผสานกับ Dollar-Cost Averaging ได้ดี โดยลงทุนสม่ำเสมอและเพิ่มปริมาณในช่วง Dip เพื่อให้ได้หุ้นในราคาที่คุ้มค่ากว่า
จากประโยชน์เหล่านี้ กลยุทธ์นี้จึงกลายเป็นเครื่องมือที่หลายคนเลือกใช้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการลงทุนในตลาดที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน
ความเสี่ยงและกับดักของ Buy the Dip ที่นักลงทุนไทยต้องตระหนัก
ถึงแม้จะมีข้อดีมากมาย แต่ Buy the Dip ก็ซ่อนความเสี่ยงและกับดักที่นักลงทุนไทยต้องตื่นตัว หากมองข้าม อาจนำไปสู่ความเสียหายรุนแรงได้
เมื่อ Dip กลายเป็นหายนะ: บทเรียนจาก “มีดบิน” ในตลาดหุ้นไทย
ความเสี่ยงหลักคือการตีความผิดว่าการตกของราคาเป็นแค่ Dip แต่จริงๆ แล้วมันคือมีดบินหรือจุดเริ่มของแนวโน้มขาลง จากปัญหาพื้นฐานที่แย่ลง ในตลาด SET เราเคยเห็นตัวอย่างหุ้นที่ร่วงหนักต่อเนื่องจากเหตุการณ์เช่น เรื่องอื้อฉาวในบริษัท การสูญเสียสัมปทาน หรือคู่แข่งใหม่ที่เข้ามารบกวนธุรกิจ หุ้นเหล่านี้ไม่เพียงไม่ฟื้น แต่ยังตกลงไปเรื่อยๆ ทำให้ผู้ที่พยายามรับมีดต้องขาดทุนหนัก บางรายถึงขั้นสูญเสียทั้งหมด การตรวจสอบอย่างละเอียดจึงช่วยหลีกเลี่ยงสถานการณ์แบบนี้ได้
ตัวอย่างในอดีต เช่น ช่วงวิกฤตโควิดที่บางหุ้นในกลุ่มท่องเที่ยวตกลงหนัก แต่บางตัวฟื้นตัวเร็วเพราะพื้นฐานดี ในขณะที่บางตัวกลายเป็นมีดบินเพราะปัญหาโครงสร้าง การเรียนรู้จากกรณีเหล่านี้ช่วยให้นักลงทุนตัดสินใจได้ดีขึ้น
จิตวิทยาการลงทุน: อารมณ์ตลาดและความผิดพลาดของนักลงทุนไทย
จิตวิทยาเข้ามามีบทบาทใหญ่ในการกำหนดผลลัพธ์ของ Buy the Dip อารมณ์อย่างความกลัวและความโลภมักทำให้ตัดสินใจพลาด เช่น เมื่อราคาตกเร็ว ผู้ลงทุนหลายคนกลัวและไม่กล้าซื้อ ในขณะที่ตลาดร้อนแรงก็ไล่ซื้อตามกระแส ซึ่งตรงข้ามกับหลักการซื้อถูก นอกจากนี้ พฤติกรรมตามฝูงชนยังเป็นปัญหาใหญ่ในไทย ทำให้ซื้อขายตามข่าวลือ การฝึกวินัยและควบคุมอารมณ์จึงจำเป็น เพื่อให้กลยุทธ์นี้ทำงานได้จริง
เพื่อเสริมสร้างวินัย นักลงทุนอาจลองบันทึกเหตุผลการตัดสินใจแต่ละครั้ง เพื่อทบทวนและปรับปรุงพฤติกรรมในอนาคต
กลยุทธ์ Buy the Dip สำหรับนักลงทุนไทย: ลงทุนอย่างชาญฉลาด
การนำ Buy the Dip มาใช้ในตลาดหุ้นไทยต้องอาศัยการวางแผนรอบคอบและวินัยที่มั่นคง เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดี
การวิเคราะห์พื้นฐานและเทคนิค: หัวใจสำคัญก่อนตัดสินใจซื้อ
ก่อนซื้อ นักลงทุนควรวิเคราะห์ทั้งพื้นฐานและเทคนิคอย่างละเอียด การดูพื้นฐานต้องตรวจงบการเงิน อัตราส่วนสำคัญอย่าง P/E, ROE, D/E รวมถึงแนวโน้มอุตสาหกรรมและโมเดลธุรกิจ หุ้นที่เหมาะสมคือตัวที่มีรากฐานแข็งแรง แต่ราคาตกจากปัจจัยภายนอกที่ไม่กระทบยาว
ส่วนการวิเคราะห์เทคนิคช่วยจับจังหวะ โดยดูกราฟราคาและตัวชี้วัดอย่าง RSI เพื่อเช็คภาวะ oversold หรือ MACD สำหรับโมเมนตัม แนวรับแนวต้านก็ช่วยกำหนดจุดเข้า สำหรับข้อมูลบริษัทใน SET สามารถตรวจสอบได้ที่ เว็บไซต์ตลาดหลักทรัพย์ฯ
การผสานทั้งสองวิธีช่วยให้มั่นใจมากขึ้น เช่น ในหุ้นธนาคารที่พื้นฐานดีแต่ราคาตกจากข่าวดอกเบี้ยชั่วคราว
การกำหนดจุดเข้าซื้อและจุดขาย: วางแผน Stop Loss และ Take Profit อย่างมีวินัย
แผนการเข้าและออกที่ชัดเจนคือหัวใจสำคัญ ใช้แนวรับแนวต้านกำหนดจุดเข้า และพิจารณาซื้อทีละน้อยเพื่อกระจายความเสี่ยง แทนการทุ่มหมด
การตั้ง Stop Loss สำคัญมาก เพื่อจำกัดขาดทุนหากราคายังตกต่อ โดยไม่ยอมให้ Dip กลายเป็นหายนะ ส่วน Take Profit ช่วยล็อกกำไรเมื่อถึงเป้า และป้องกันการพลิกกลับ การยึดแผนนี้ช่วยรักษาวินัย
การบริหารเงินทุนและพอร์ตการลงทุน: กระจายความเสี่ยงอย่างเหมาะสม
อย่าทุ่มเงินทั้งหมดในหุ้นตัวเดียว การจัดการเงินทุนที่ดีคือจัดสรรตามระดับความเสี่ยงที่ยอมรับ และกระจายไปยังอุตสาหกรรมหรือสินทรัพย์ต่างๆ เพื่อลดผลกระทบหากตัวใดตัวหนึ่งผิดพลาด พอร์ตที่สมดุลช่วยรับมือความผันผวนได้ดี
ตัวอย่างเช่น กระจาย 40% ในหุ้นใหญ่ 30% ในอุตสาหกรรมเติบโต และ 30% ในตราสารหนี้ เพื่อความมั่นคง
ข้อคิดเพิ่มเติมสำหรับนักลงทุนไทย: บทเรียนและการปรับตัว
ตลาดไทยมีเอกลักษณ์จากปัจจัยภายใน เช่น นโยบายรัฐ การเมือง หรือฤดูกาลที่กระทบท่องเที่ยว การติดตามข่าวจากแหล่งเชื่อถือถือเป็นสิ่งจำเป็น สามารถใช้แพลตฟอร์มอย่าง Finnomena หรือ Streaming by Settrade เพื่อวิเคราะห์และซื้อขายสะดวก นอกจากนี้ การเรียนรู้จากอดีตและปรับตัวต่อเนื่องช่วยให้อยู่รอดในตลาดที่เปลี่ยนแปลง
เช่น ช่วงเลือกตั้งที่ทำให้หุ้นผันผวน นักลงทุนที่ปรับตัวได้มักได้เปรียบ
สรุป: Buy the Dip ต้องมาพร้อมความเข้าใจและวินัยที่แข็งแกร่ง
Buy the Dip เป็นกลยุทธ์ที่สร้างกำไรได้ดี หากเข้าใจลึกซึ้งและปฏิบัติด้วยวินัย สิ่งสำคัญคือแยก Dip ที่เป็นโอกาสจากมีดบินที่อันตราย โดยใช้การวิเคราะห์พื้นฐาน เทคนิค และจัดการความเสี่ยง
สำหรับนักลงทุนไทย การประสบความสำเร็จต้องควบคุมอารมณ์ มีแผนเข้า-ออกชัดเจนพร้อม Stop Loss และ Take Profit รวมถึงบริหารเงินทุนและพอร์ตให้เหมาะสม มันไม่ใช่ทางลัดรวยเร็ว แต่เป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพ หากใช้ด้วยความระวังและตัดสินใจอย่างรอบคอบ การศึกษาต่อเนื่องและปรับตัวเข้ากับตลาดไทยจะนำไปสู่กำไรยั่งยืน
กลยุทธ์ Buy the Dip เหมาะกับสถานการณ์ตลาดหุ้นไทยแบบไหนมากที่สุด และไม่เหมาะกับสถานการณ์ใด?
กลยุทธ์ Buy the Dip เหมาะที่สุดกับสถานการณ์ที่ตลาดโดยรวมหรือหุ้นรายตัวมีการปรับฐานลงชั่วคราวจากปัจจัยภายนอกที่ไม่กระทบกับพื้นฐานระยะยาว เช่น ข่าวร้ายระยะสั้น การปรับพอร์ตของกองทุน หรือความกังวลชั่วคราวในตลาดโลก แต่พื้นฐานของบริษัทหรือภาพรวมเศรษฐกิจยังคงแข็งแกร่ง
ไม่เหมาะกับสถานการณ์ที่หุ้นอยู่ในแนวโน้มขาลงระยะยาว (Bear Market) หรือมีปัจจัยพื้นฐานของบริษัทที่เปลี่ยนไปในทางที่แย่ลงอย่างถาวร เช่น การถูก Disrupt ของธุรกิจ ผลประกอบการตกต่ำอย่างต่อเนื่อง หรือการเกิดวิกฤตเศรษฐกิจที่รุนแรง
หากซื้อหุ้นตอน Dip แล้วพบว่าเป็น “มีดบิน” ที่ยังลงต่อ นักลงทุนไทยควรจัดการความเสี่ยงอย่างไร?
หากพบว่าหุ้นที่ซื้อตอน Dip กลายเป็น “มีดบิน” ที่ยังคงลดลงอย่างต่อเนื่อง สิ่งสำคัญที่สุดคือการมีวินัยในการ Stop Loss หรือตัดขาดทุนตามแผนที่วางไว้ตั้งแต่แรก ไม่ควรฝืนถือต่อโดยไม่มีเหตุผลรองรับ เพราะอาจนำไปสู่การขาดทุนที่หนักขึ้น นอกจากนี้ ควรทบทวนการวิเคราะห์ของตนเอง เพื่อเรียนรู้จากความผิดพลาดและปรับปรุงกลยุทธ์ในอนาคต
มีเครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคหรือแอปพลิเคชันใดบ้างที่ช่วยหาสัญญาณ “Dip” ที่น่าเชื่อถือในหุ้นไทย?
นักลงทุนไทยสามารถใช้เครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคหลายประเภทเพื่อหาสัญญาณ Dip ที่น่าเชื่อถือ เช่น:
- **RSI (Relative Strength Index):** หากค่า RSI ต่ำกว่า 30 อาจบ่งชี้ถึงภาวะ Oversold (ขายมากเกินไป)
- **MACD (Moving Average Convergence Divergence):** ใช้ดูโมเมนตัมและสัญญาณการกลับตัวของราคา
- **Bollinger Bands:** ใช้ประเมินความผันผวนและระดับราคาที่อาจมีการกลับตัว
- **Fibonacci Retracement:** ใช้หาระดับแนวรับที่ราคาอาจกลับตัว
แอปพลิเคชันยอดนิยมในไทย เช่น Finnomena และ Streaming by Settrade App (จากตลาดหลักทรัพย์ฯ) มีเครื่องมือเหล่านี้ให้ใช้งาน พร้อมข้อมูลหุ้นและข่าวสารที่เกี่ยวข้อง
Buy the Dip แตกต่างจากการลงทุนแบบ “Dollar-Cost Averaging (DCA)” อย่างไร และควรเลือกใช้วิธีไหนในตลาดหุ้นไทย?
Buy the Dip: เป็นกลยุทธ์ที่มุ่งเน้นการจับจังหวะตลาด โดยจะเข้าซื้อเมื่อราคาหุ้นปรับตัวลดลงในระยะสั้น ด้วยความหวังว่าจะได้ราคาที่ถูกที่สุดก่อนที่ราคาจะฟื้นตัว
DCA (Dollar-Cost Averaging): เป็นกลยุทธ์การลงทุนอย่างสม่ำเสมอด้วยเงินลงทุนจำนวนเท่ากันในทุกงวดเวลา โดยไม่คำนึงถึงราคาหุ้นในขณะนั้น
ในตลาดหุ้นไทย นักลงทุนสามารถเลือกใช้ทั้งสองกลยุทธ์นี้ร่วมกันได้ DCA ช่วยลดความเสี่ยงจากการจับจังหวะตลาดผิดพลาด ส่วน Buy the Dip ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำกำไรเมื่อมีจังหวะที่เหมาะสม นักลงทุนมือใหม่อาจเริ่มต้นด้วย DCA เพื่อสร้างวินัย จากนั้นค่อยๆ เรียนรู้การใช้ Buy the Dip ในหุ้นที่ศึกษามาอย่างดีแล้ว
นักลงทุนมือใหม่ในตลาดหุ้น SET ควรเริ่มฝึกใช้กลยุทธ์ Buy the Dip อย่างไรให้ปลอดภัย?
นักลงทุนมือใหม่ควรเริ่มต้นด้วยความระมัดระวังและปฏิบัติดังนี้:
- **ศึกษาหาความรู้:** ทำความเข้าใจพื้นฐานของบริษัทและกลไกตลาดให้ดี
- **เริ่มจากเงินจำนวนน้อย:** ใช้เงินจำนวนน้อยในการฝึกฝน เพื่อจำกัดความเสี่ยงหากเกิดข้อผิดพลาด
- **เลือกหุ้นพื้นฐานดี:** เลือกหุ้นของบริษัทที่มีพื้นฐานแข็งแกร่งและมีประวัติผลประกอบการที่ดี
- **ตั้ง Stop Loss เสมอ:** วางแผนจุดตัดขาดทุนที่ชัดเจนและมีวินัยในการทำตาม
- **ทดลองในพอร์ตจำลอง:** ลองใช้กลยุทธ์ในพอร์ตจำลองก่อน เพื่อสร้างความเข้าใจและประสบการณ์จริงโดยไม่มีความเสี่ยงทางการเงิน
การตัดสินใจ “Buy the Dip” ควรพิจารณาจากข่าวสารหรือบทวิเคราะห์จากแหล่งใดในประเทศไทย?
ควรพิจารณาจากแหล่งข่าวสารและบทวิเคราะห์ที่น่าเชื่อถือและหลากหลาย เช่น:
- **เว็บไซต์ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET):** สำหรับข้อมูลพื้นฐานของบริษัทและข่าวสารอย่างเป็นทางการ
- **สำนักข่าวเศรษฐกิจชั้นนำ:** เช่น ประชาชาติธุรกิจ, กรุงเทพธุรกิจ, ผู้จัดการออนไลน์, หรือหนังสือพิมพ์ฉบับต่างๆ
- **บทวิเคราะห์จากบริษัทหลักทรัพย์:** ซึ่งมักจะมีบทวิเคราะห์เชิงลึกทั้งปัจจัยพื้นฐานและเทคนิค
- **แพลตฟอร์มการลงทุน:** เช่น Finnomena หรือ StockRadars ที่รวบรวมข้อมูลและบทวิเคราะห์จากผู้เชี่ยวชาญ
สิ่งสำคัญคือการวิเคราะห์ข้อมูลด้วยตนเองและไม่เชื่อตามข่าวสารใดข่าวสารหนึ่งทั้งหมด
มีข้อควรระวังทางภาษีหรือกฎระเบียบของตลาดหลักทรัพย์ไทยอะไรบ้างที่เกี่ยวข้องกับการใช้กลยุทธ์นี้?
ในประเทศไทย กำไรจากการขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ SET สำหรับบุคคลธรรมดาจะได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา แต่จะมีภาษีหัก ณ ที่จ่าย 10% สำหรับเงินปันผลที่ได้รับ
สำหรับกฎระเบียบของตลาดหลักทรัพย์ฯ ควรทำความเข้าใจเรื่องหลักเกณฑ์การซื้อขาย (เช่น Circuit Breaker, Ceiling & Floor) และหลักเกณฑ์การเปิดเผยข้อมูลของบริษัทจดทะเบียน เพื่อให้สามารถตัดสินใจลงทุนได้อย่างมีข้อมูลครบถ้วน และหลีกเลี่ยงการกระทำที่ผิดกฎหมาย เช่น การใช้ข้อมูลภายใน (Insider Trading) ซึ่งเป็นสิ่งต้องห้ามอย่างเด็ดขาด
ถ้าตลาดโดยรวมอยู่ในช่วง “ตลาดหมี” (Bear Market) นักลงทุนไทยยังควรพิจารณา Buy the Dip หรือไม่?
ในสภาวะตลาดหมี การ Buy the Dip จะมีความเสี่ยงสูงขึ้นมาก เพราะการปรับฐานอาจกลายเป็นการลดลงอย่างต่อเนื่องและยาวนานได้ง่ายกว่า
หากจะใช้กลยุทธ์นี้ในตลาดหมี นักลงทุนต้องมีความระมัดระวังเป็นพิเศษ และเน้นไปที่หุ้นของบริษัทที่มีพื้นฐานแข็งแกร่งมากจริงๆ มีกระแสเงินสดดี และสามารถทนทานต่อภาวะเศรษฐกิจถดถอยได้ ควรใช้เงินลงทุนในสัดส่วนที่น้อยลง และพิจารณาการทยอยซื้อ (Phased Buying) เพื่อลดความเสี่ยง และที่สำคัญคือต้องมีวินัยในการตั้ง Stop Loss ที่เข้มงวด
การตั้งจุด Stop Loss และ Take Profit สำหรับหุ้นไทยที่ Buy the Dip ควรทำอย่างไรให้เหมาะสม?
การตั้ง Stop Loss และ Take Profit ควรพิจารณาจากหลายปัจจัย:
- ระดับแนวรับ/แนวต้าน: กำหนด Stop Loss ต่ำกว่าแนวรับสำคัญ และ Take Profit ใกล้แนวต้านสำคัญ
- เปอร์เซ็นต์ความเสี่ยง: กำหนดเปอร์เซ็นต์การขาดทุนที่ยอมรับได้ เช่น 5-10% จากจุดเข้าซื้อ
- ความผันผวนของหุ้น: หุ้นที่มีความผันผวนสูง อาจต้องตั้ง Stop Loss ที่กว้างขึ้นเล็กน้อย
- เป้าหมายผลตอบแทน: กำหนด Take Profit ที่สอดคล้องกับเป้าหมายผลตอบแทนที่คาดหวัง เช่น 1:2 หรือ 1:3 เมื่อเทียบกับความเสี่ยง
สิ่งสำคัญคือการยึดมั่นในแผนที่วางไว้และปรับเปลี่ยนตามสถานการณ์ตลาดอย่างมีเหตุผล
ตัวอย่างหุ้นไทยที่เคยมีจังหวะ “Dip” ที่ดีและน่าสนใจในอดีต มีอะไรบ้างที่สามารถนำมาศึกษาได้?
ในอดีต หุ้นหลายตัวในตลาด SET มักจะมีจังหวะ “Dip” ที่น่าสนใจ ซึ่งเกิดจากปัจจัยชั่วคราว เช่น:
- กลุ่มพลังงาน: เมื่อราคาน้ำมันโลกปรับลดลงชั่วคราว
- กลุ่มท่องเที่ยว: เมื่อมีเหตุการณ์ที่ส่งผลกระทบต่อการท่องเที่ยวในระยะสั้น เช่น การระบาดของโรค หรือเหตุการณ์ทางการเมือง
- กลุ่มธนาคาร/ค้าปลีก: เมื่อมีการประกาศนโยบายภาครัฐที่ส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อในระยะสั้น
ตัวอย่างเหล่านี้เป็นเพียงประเภทของหุ้นที่อาจเกิด Dip ได้ การศึกษาจากกราฟราคาและข่าวสารในอดีตของหุ้นเหล่านี้ จะช่วยให้นักลงทุนเข้าใจรูปแบบการเกิด Dip และการฟื้นตัวได้ดีขึ้น