บทนำ: ทำความเข้าใจแนวรับและแนวต้าน หัวใจสำคัญของการวิเคราะห์ทางเทคนิค
การลงทุนในตลาดการเงิน ไม่ว่าจะเป็นตลาดอัตราแลกเปลี่ยน ตลาดทองคำ สกุลเงินดิจิทัล หรือแม้แต่หุ้นในตลาดไทย ล้วนต้องพึ่งพาเครื่องมือและวิธีการต่างๆ เพื่อช่วยตัดสินใจอย่างมีเหตุผล หนึ่งในหลักการพื้นฐานที่ทรงอิทธิพลและได้รับการยอมรับในวงกว้างคือแนวรับและแนวต้าน ซึ่งเป็นหัวใจหลักของการวิเคราะห์ทางเทคนิค บทความนี้จะชวนทุกคน โดยเฉพาะผู้ที่เพิ่งเริ่มต้นในวงการเทรด มาสำรวจความหมายที่แท้จริงของแนวรับและแนวต้าน ว่ามันสำคัญอย่างไร และวิธีนำไปใช้เพื่อเสริมโอกาสทำกำไรในตลาดให้สูงขึ้น

แนวรับ แนวต้าน คืออะไร? นิยามและหลักการพื้นฐานที่ต้องรู้
แนวรับและแนวต้านคือระดับราคาบนกราฟที่ทำหน้าที่เหมือนด่านหรือฐานที่ยึดราคาไม่ให้เคลื่อนไหวไปในทิศทางนั้นๆ อย่างราบรื่น สิ่งเหล่านี้เกิดจากพฤติกรรมและความคิดของผู้เข้าร่วมตลาด

แนวรับ (Support): จุดที่ราคาหยุดร่วง
แนวรับหมายถึงระดับราคาที่คาดว่าน่าจะมีแรงซื้อเข้ามาเพียงพอที่จะชะลอหรือหยุดการตกของราคาได้ เหมือนกับพื้นฐานที่คอยพยุงไม่ให้ราคาร่วงลงต่ำกว่านั้น ระดับนี้มักปรากฏเมื่อผู้ลงทุนจำนวนมากเห็นว่าราคาต่ำเกินจริง จึงตัดสินใจซื้อเข้า สร้างความต้องการที่แข็งแกร่งผลักดันให้ราคากลับตัวขึ้น มันแสดงให้เห็นว่าฝั่งผู้ซื้อครองอำนาจเหนือผู้ขาย ณ จุดนั้น และมักเป็นตำแหน่งที่ราคาเริ่มฟื้นตัว หรืออย่างน้อยก็หยุดการลดลงชั่วคราว
แนวต้าน (Resistance): กำแพงที่ราคาชนแล้วเด้ง
แนวต้านคือระดับราคาที่คาดว่าน่าจะมีแรงขายเข้ามาเพียงพอที่จะชะลอหรือหยุดการขึ้นของราคาได้ เหมือนเพดานที่กีดขวางไม่ให้ราคาพุ่งสูงกว่านั้น ระดับนี้มักเกิดขึ้นเมื่อผู้ลงทุนจำนวนมากมองว่าราคาสูงเกินไป จึงขายออกเพื่อล็อกกำไร สร้างอุปทานที่เข้มข้นกดราคาให้ย่อตัวลง มันบ่งบอกว่าฝั่งผู้ขายครองสถานการณ์ และมักเป็นจุดที่ราคาเริ่มปรับฐานลง หรือหยุดการเพิ่มขึ้นชั่วคราว
จิตวิทยาเบื้องหลังแนวรับแนวต้าน: ทำไมเส้นเหล่านี้ถึงสำคัญ?
แนวรับและแนวต้านไม่ใช่แค่เส้นบนกราฟเท่านั้น แต่เป็นภาพสะท้อนของความรู้สึกและการกระทำของผู้คนในตลาด ทั้งนักลงทุนรายเล็กและรายใหญ่ต่างจับตาดูระดับเหล่านี้ เมื่อราคาเข้าใกล้แนวรับ ผู้ที่พลาดโอกาสก่อนหน้านี้หรือกำลังรอจุดเข้าจะรีบซื้อเพราะคิดว่าราคาถูกแล้ว ขณะที่ผู้ที่ขาดทุนอยู่ก็อาจเพิ่มการถือเพื่อเฉลี่ยต้นทุน

ตรงกันข้าม เมื่อราคาเข้าใกล้แนวต้าน ผู้ที่ถือสินทรัพย์ในราคาต่ำกว่าก็จะขายเพื่อเอากำไร เพราะคิดว่าราคาแพงเกินไป และผู้ที่ติดในราคาสูงก็อาจขายตัดขาดทุนเพื่อลดความเสี่ยง การตัดสินใจเหล่านี้รวมกันกลายเป็นแรงผลักดันมหาศาลที่ทำให้แนวรับและแนวต้านแข็งแกร่ง สำหรับนักลงทุนในไทย ความกลัวพลาดโอกาสหรือความโลภเหล่านี้มักนำไปสู่การตัดสินใจที่ผิด หากขาดแผนการชัดเจนเกี่ยวกับระดับเหล่านี้
วิธีระบุแนวรับแนวต้านบนกราฟ: เครื่องมือและเทคนิคที่ใช้จริง
การค้นหาแนวรับและแนวต้านที่ถูกต้องต้องอาศัยการฝึกฝนต่อเนื่อง เครื่องมือหลักคือกราฟราคาที่บันทึกพฤติกรรมในอดีต เพื่อช่วยให้เราเห็นรูปแบบ
การใช้จุดสูงสุดและต่ำสุดในอดีต (Historical Highs & Lows)
วิธีพื้นฐานที่สุดคือการสังเกตจุดที่ราคาเคยเปลี่ยนทิศทางสำคัญในอดีต:
- แนวรับ: มักอยู่ใกล้จุดต่ำสุดที่ราคาเคยลงไปแล้วดีดตัวขึ้นหลายรอบ
 - แนวต้าน: มักอยู่ใกล้จุดสูงสุดที่ราคาเคยขึ้นไปแล้วถูกกดลงหลายรอบ
 
ยิ่งราคาเคยทดสอบระดับนั้นบ่อยครั้งเท่าไหร่ ระดับนั้นก็ยิ่งน่าเชื่อถือมากขึ้น ผู้ลงทุนควรดูกรอบเวลาต่างๆ เพื่อเห็นภาพใหญ่ของแนวโน้มและระดับที่หลากหลาย
แนวรับแนวต้านแบบเส้นและแบบโซน (Lines vs. Zones)
ถึงแม้เราจะเรียกมันว่าเส้น แต่ในทางปฏิบัติ ราคาไม่ได้หยุดที่จุดเดียวเป๊ะๆ เสมอไป มักจะแกว่งไกวในช่วงราคาหนึ่งก่อนเปลี่ยนทิศ ดังนั้น การคิดถึงแนวรับและแนวต้านเป็นโซนหรือพื้นที่จะยืดหยุ่นและแม่นยำกว่า สามารถวาดกรอบครอบคลุมบริเวณที่ราคาเคยกลับตัวหลายครั้ง เพื่อกำหนดโซนเหล่านั้น
การเปลี่ยนบทบาทของแนวรับแนวต้าน (Support/Resistance Flip)
แนวคิดนี้เป็นหัวใจสำคัญในเทคนิคิคอล เมื่อแนวรับแข็งแกร่งถูกทะลุลง ระดับนั้นจะกลายเป็นแนวต้านใหม่ทันที เพราะผู้ที่ซื้อไว้แล้วขาดทุนจะขายเมื่อราคากลับมาทดสอบ ในทางตรงข้าม ถ้าแนวต้านถูกทะลุขึ้น ระดับนั้นจะกลายเป็นแนวรับใหม่ ผู้ที่พลาดซื้อหรือเคยขายจะรีบเข้าซื้อเมื่อราคาย่อลงมาทดสอบ การพลิกบทบาทนี้ช่วยยืนยันแนวโน้มใหม่และเป็นจุดเข้าเทรดที่ยอดเยี่ยม
กลยุทธ์การเทรดด้วยแนวรับแนวต้าน: ทำกำไรในตลาดจริง
แนวรับและแนวต้านเป็นฐานรากสำหรับสร้างกลยุทธ์เทรดหลากหลาย ช่วยกำหนดจุดเข้า จุดออก การหยุดขาดทุน และเป้าหมายกำไรอย่างมีระบบ
กลยุทธ์การเทรดแบบเด้งกลับ (Bounce Trading Strategy)
กลยุทธ์นี้มุ่งเน้นการเข้าเมื่อราคาแตะระดับแล้วคาดว่าจะเด้งกลับ
- ที่แนวรับ: ซื้อเมื่อราคาลงมาถึงแนวรับแข็ง ร่วมกับสัญญาณกลับตัวอย่างแท่งเทียนพิเศษหรือตัวชี้วัดที่บ่ง Oversold
 - ที่แนวต้าน: ขายเมื่อราคาขึ้นถึงแนวต้านแข็ง ร่วมกับสัญญาณกลับตัวหรือ Overbought
 
เหมาะสำหรับตลาดที่เคลื่อนในกรอบหรือมีแนวโน้มชัดแต่พักตัวบ่อย
กลยุทธ์การเทรดแบบทะลุ (Breakout Trading Strategy)
กลยุทธ์นี้เข้าเมื่อราคาทะลุระดับสำคัญ โดยคาดว่าราคาจะไปต่อด้วยโมเมนตัม
- ทะลุแนวต้าน: ซื้อเมื่อทะลุขึ้นพร้อมวอลุ่มเพิ่ม แสดงแรงซื้อเข้มข้น
 - ทะลุแนวรับ: ขายเมื่อทะลุลงพร้อมวอลุ่มเพิ่ม แสดงแรงขายเข้มข้น
 
ต้องยืนยันการทะลุให้ชัด โดยรอราคายืนนิ่งก่อนเข้า เพื่อหลีกเลี่ยงทะลุปลอม
การตั้งจุด Stop Loss และ Take Profit โดยใช้แนวรับแนวต้าน
การจัดการความเสี่ยงคือกุญแจสำคัญ และแนวรับแนวต้านช่วยกำหนดจุดเหล่านี้ได้ดี
- Stop Loss:
- ซื้อที่แนวรับ: ตั้งต่ำกว่าแนวรับนิดหน่อย เพื่อป้องกันทะลุ
 - ขายที่แนวต้าน: ตั้งสูงกว่าแนวต้านนิดหน่อย เพื่อป้องกันทะลุ
 
 - Take Profit:
- ซื้อที่แนวรับ: ตั้งที่แนวต้านถัดไป
 - ขายที่แนวต้าน: ตั้งที่แนวรับถัดไป
 
 
วิธีนี้ช่วยให้มีอัตราส่วนเสี่ยงต่อกำไรที่สมดุล ปกป้องทุนและมุ่งเป้ากำไร
แนวรับแนวต้านในตลาดต่างๆ: Forex, ทองคำ, คริปโต และหุ้นไทย
หลักการแนวรับแนวต้านใช้ได้ทุกตลาด แต่ละตลาดมีลักษณะเฉพาะที่ต้องพิจารณา
แนวรับ แนวต้าน Forex: ตัวอย่างคู่เงินยอดนิยม
ตลาด Forex มีสภาพคล่องสูงและเปิดตลอด 24 ชั่วโมง แนวรับแนวต้านช่วยระบุจุดกลับตัวและแนวโน้มของคู่เงิน เช่น EUR/USD, GBP/JPY หรือ USD/THB มักรวมการดูข่าวเศรษฐกิจที่อาจทำให้ทะลุรุนแรง เช่น การขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางที่ทำให้สกุลเงินแข็งค่าทะลุแนวต้าน
แนวรับ แนวต้าน ทอง: วิเคราะห์ราคาทองคำวันนี้
ทองคำถูกมองเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย ได้รับผลจากเศรษฐกิจโลกและภูมิรัฐศาสตร์ แนวรับแนวต้านช่วยคาดการณ์ราคาทองวันนี้ ในไทย นักลงทุนติดตามราคาโลกควบอัตราแลกเปลี่ยน USD/THB การวิเคราะห์กราฟ XAU/USD และราคาในประเทศช่วยตัดสินใจซื้อขายทองแท่งหรือรูปพรรณได้ดีขึ้น ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการวิเคราะห์เทคนิคจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
แนวรับ แนวต้าน คริปโต: ความผันผวนสูงกับการใช้งาน
ตลาดคริปโตอย่าง Bitcoin และ Altcoin ผันผวนสูง แนวรับแนวต้านอาจทะลุบ่อย แต่ยังมีประโยชน์ระบุระดับสำคัญ ควรใช้คู่กับวอลุ่มและข่าวโปรเจกต์ เพื่อประเมินความแข็งแกร่งและโอกาสทะลุ
แนวรับ แนวต้าน หุ้นไทย (SET Index): กรณีศึกษาและข้อควรระวัง
ในตลาดหุ้นไทย SET Index และหุ้นรายตัว เทรดเดอร์ใช้แนวรับแนวต้านหาจุดซื้อขาย เช่น บนกราฟ SET Index หรือหุ้นธนาคารพลังงาน ถ้า SET Index ลงทดสอบ 1,500 จุด อาจซื้อหุ้นพื้นฐานดี แต่ถ้าทะลุ ต้องระวัง
ข้อควรระวังสำหรับนักลงทุนไทย:
- ปัจจัยพื้นฐาน: พิจารณาพื้นฐานบริษัทควบเทคนิค
 - ข่าวสารในประเทศ: การเมือง เศรษฐกิจ นโยบายรัฐอาจกระทบรุนแรง
 - สภาพคล่อง: หุ้นบางตัวคล่องต่ำ ทำให้ระดับไม่แข็ง
 
ข้อผิดพลาดที่พบบ่อยในการใช้แนวรับแนวต้าน และวิธีแก้ไข
แม้แนวรับแนวต้านจะมีพลัง แต่ผู้เริ่มต้นมักพลาดหลายจุด
ยึดติดกับเส้นมากเกินไป ไม่มองภาพรวม (Over-reliance on Lines)
การยึดเส้นเดียวโดยไม่ดูภาพรวมอย่างแนวโน้มหลักหรือปัจจัยใหญ่ อาจนำไปสู่ความผิดพลาด ควรคิดเป็นโซนและสังเกตราคาตอบสนองอย่างไร ไม่ใช่จุดเดียว
ไม่พิจารณาวอลุ่มหรือปัจจัยอื่น (Ignoring Volume/Other Factors)
วอลุ่มช่วยยืนยันทะลุที่แข็ง ทะลุไร้วอลุ่มมักหลอก ใช้ตัวชี้วัดอื่นอย่าง Moving Averages, RSI หรือ MACD ร่วม จะเพิ่มความแม่นยำ เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับ Support and Resistance จาก Investopedia
ใช้ Timeframe ไม่เหมาะสม (Inappropriate Timeframe)
ระดับต่างกันตามกรอบเวลา Timeframe ใหญ่ (รายวัน สัปดาห์) แข็งแกร่งกว่าเล็ก (5-15 นาที) วิเคราะห์จากใหญ่ไปเล็กเพื่อเห็นภาพรวมและจุดเข้า
มองข้ามข่าวสารและปัจจัยพื้นฐาน (Overlooking News/Fundamentals)
ถึงเป็นเทคนิค แต่ข่าวเศรษฐกิจ การเมือง หรือเหตุการณ์ใหญ่ (Black Swan) อาจทะลุระดับง่าย ติดตามข่าวและพื้นฐานจึงจำเป็น
บทสรุป: ผสานแนวรับแนวต้านกับการเทรดของคุณอย่างชาญฉลาด
แนวรับและแนวต้านเป็นเครื่องมือพื้นฐานแต่ทรงพลังในเทคนิคิคอล ช่วยเข้าใจราคาและจิตวิทยาตลาด การระบุถูกต้อง ใช้กลยุทธ์เหมาะ และจัดการความเสี่ยงด้วยวินัย จะเพิ่มโอกาสสำเร็จ แต่จำไว้ว่าไม่ใช่สูตรลับ 100% เป็นส่วนหนึ่งของแผนใหญ่ การฝึก เรียนจากประสบการณ์ และรวมกับเครื่องมืออื่น จะนำไปสู่การเทรดที่ฉลาดและมั่นใจ
คำถามที่พบบ่อย (FAQs)
1. แนวรับ แนวต้าน คืออะไร และมีความสำคัญกับการเทรดอย่างไร?
แนวรับคือระดับราคาที่คาดว่าจะมีแรงซื้อเข้ามามากพอที่จะหยุดการลดลงของราคา ส่วนแนวต้านคือระดับราคาที่คาดว่าจะมีแรงขายเข้ามามากพอที่จะหยุดการเพิ่มขึ้นของราคา ทั้งสองสิ่งนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งในการเทรด เพราะช่วยให้นักลงทุนสามารถระบุจุดเข้าซื้อ-ขาย จุดตัดขาดทุน (Stop Loss) และจุดทำกำไร (Take Profit) ได้อย่างมีหลักการ ทำให้สามารถบริหารความเสี่ยงและวางแผนกลยุทธ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
2. จะดูแนวรับแนวต้านบนกราฟราคาได้อย่างไรให้แม่นยำ?
การระบุแนวรับแนวต้านที่แม่นยำทำได้โดยการมองหาจุดสูงสุดและต่ำสุดในอดีตที่ราคาเคยกลับตัวหลายครั้ง ยิ่งกลับตัวบ่อยครั้งยิ่งแข็งแกร่ง ควรพิจารณาจาก Timeframe ใหญ่ (รายวัน, รายสัปดาห์) ก่อน และมองเป็น “โซน” ราคาแทนที่จะเป็นเพียง “เส้น” เดียวๆ นอกจากนี้ การดูวอลุ่มการซื้อขายประกอบก็ช่วยยืนยันความแข็งแกร่งของแนวรับแนวต้านได้
3. แนวรับ แนวต้าน ใช้ได้กับตลาดทองคำไทยหรือหุ้น SET Index ด้วยหรือไม่?
ได้แน่นอน แนวรับแนวต้านเป็นหลักการสากลของการวิเคราะห์ทางเทคนิคที่สามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้กับทุกตลาดการเงิน ไม่ว่าจะเป็นตลาดทองคำไทย หุ้นใน SET Index (ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย) Forex หรือแม้แต่คริปโตเคอร์เรนซี เพียงแต่ในแต่ละตลาดอาจมีปัจจัยเฉพาะตัวที่ต้องพิจารณาประกอบเพิ่มเติม เช่น ข่าวสารในประเทศสำหรับหุ้นไทย หรือปัจจัยเศรษฐกิจมหภาคสำหรับทองคำ
4. หากแนวรับหรือแนวต้านถูกทะลุ (Breakout) ควรเทรดอย่างไร?
หากแนวรับหรือแนวต้านถูกทะลุอย่างมีนัยสำคัญ (มักจะมาพร้อมวอลุ่มที่เพิ่มขึ้น) แนวคิดคือการเทรดตามทิศทางการทะลุนั้นๆ โดยแนวที่ถูกทะลุจะเปลี่ยนบทบาท เช่น แนวต้านที่ถูกทะลุขึ้นไปจะกลายเป็นแนวรับใหม่ เทรดเดอร์สามารถรอให้ราคาย่อตัวกลับลงมาทดสอบแนวใหม่เพื่อหาจังหวะเข้าซื้อ หรือเข้าซื้อทันทีที่ทะลุหากมีสัญญาณยืนยันที่แข็งแกร่ง อย่างไรก็ตาม ควรระมัดระวังการทะลุหลอก (False Breakout) ซึ่งราคาอาจกลับไปในกรอบเดิม
5. ควรใช้แนวรับแนวต้านคู่กับ Indicator ตัวอื่นไหม เพื่อเพิ่มความแม่นยำ?
ควรอย่างยิ่ง! การใช้แนวรับแนวต้านควบคู่กับ Indicator อื่นๆ เช่น Moving Average (MA), Relative Strength Index (RSI), MACD หรือ Volume จะช่วยเพิ่มความแม่นยำและยืนยันสัญญาณการเทรดได้ดียิ่งขึ้น ตัวอย่างเช่น หากราคาลงมาที่แนวรับและ RSI แสดงภาวะ Oversold นี่อาจเป็นสัญญาณที่แข็งแกร่งกว่าการดูแนวรับเพียงอย่างเดียว
6. นักลงทุนมือใหม่มักทำผิดพลาดอะไรบ่อยๆ ในการใช้แนวรับแนวต้าน?
นักลงทุนมือใหม่มักทำผิดพลาดหลายอย่าง ได้แก่:
- ยึดติดกับเส้นแนวรับแนวต้านเดี่ยวๆ มากเกินไป ไม่มองเป็นโซน
 - ไม่พิจารณาวอลุ่มประกอบการตัดสินใจ
 - ใช้ Timeframe ที่ไม่เหมาะสม หรือสลับไปมาระหว่าง Timeframe เล็ก-ใหญ่บ่อยเกินไป
 - ละเลยข่าวสารและปัจจัยพื้นฐานที่อาจส่งผลกระทบต่อราคา
 - ไม่ตั้งจุด Stop Loss หรือตั้งไว้ห่างเกินไป ทำให้ขาดทุนหนัก
 
การแก้ไขคือการฝึกฝน ทำความเข้าใจหลักการอย่างลึกซึ้ง และมีวินัยในการเทรด
7. แนวรับแนวต้านมีการเปลี่ยนแปลงตาม Timeframe หรือไม่?
ใช่ แนวรับแนวต้านจะแตกต่างกันไปตาม Timeframe ที่ใช้ดู กราฟรายวันจะมีแนวรับแนวต้านที่แตกต่างจากกราฟ 1 ชั่วโมง หรือกราฟ 5 นาที แนวรับแนวต้านใน Timeframe ที่ใหญ่กว่า (เช่น รายวัน รายสัปดาห์) มักจะมีความสำคัญและน่าเชื่อถือมากกว่า เนื่องจากสะท้อนพฤติกรรมของนักลงทุนในระยะยาว การวิเคราะห์แบบ Multi-Timeframe (ดูหลาย Timeframe) จึงเป็นสิ่งสำคัญในการยืนยันความแข็งแกร่งของแนวรับแนวต้าน
8. จิตวิทยาตลาดมีผลต่อการเกิดแนวรับแนวต้านอย่างไร?
จิตวิทยาตลาดเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้เกิดและเสริมความแข็งแกร่งของแนวรับแนวต้าน เมื่อราคาเข้าใกล้แนวรับ นักลงทุนจำนวนมากจะมีความรู้สึก “กลัว” ว่าจะพลาดโอกาส (FOMO) และเข้าซื้อ ทำให้ราคาเด้งขึ้น ในทางกลับกัน เมื่อราคาเข้าใกล้แนวต้าน นักลงทุนที่ถืออยู่จะรู้สึก “โลภ” อยากทำกำไร หรือ “กลัว” ว่าราคาจะลง ทำให้เทขายออกมา แรงผลักดันจากความกลัวและความโลภของนักลงทุนจำนวนมากรวมกัน ทำให้เกิดอุปสงค์และอุปทานที่ชัดเจน ณ ระดับราคาเหล่านั้น
9. การตั้ง Stop Loss และ Take Profit โดยใช้แนวรับแนวต้าน มีเทคนิคอย่างไร?
เทคนิคคือ:
- **สำหรับ Stop Loss:** เมื่อซื้อที่แนวรับ ควรตั้ง Stop Loss ไว้ต่ำกว่าแนวรับนั้นเล็กน้อย เพื่อป้องกันกรณีที่แนวรับถูกทะลุลงมา หากขายที่แนวต้าน ควรตั้ง Stop Loss ไว้เหนือแนวต้านนั้นเล็กน้อย
 - **สำหรับ Take Profit:** เมื่อซื้อที่แนวรับ ควรตั้ง Take Profit ไว้ที่แนวต้านถัดไปที่แข็งแกร่ง หากขายที่แนวต้าน ควรตั้ง Take Profit ไว้ที่แนวรับถัดไป
 
การทำเช่นนี้ช่วยให้คุณสามารถกำหนดอัตราส่วนความเสี่ยงต่อผลตอบแทนที่เหมาะสมได้
10. การเทรดแบบ “เด้งกลับ” (Bounce) กับ “ทะลุ” (Breakout) แตกต่างกันอย่างไร?
การเทรดแบบ “เด้งกลับ” (Bounce Trading) คือการซื้อเมื่อราคาแตะแนวรับแล้วเด้งขึ้น หรือขายเมื่อราคาแตะแนวต้านแล้วเด้งลง เหมาะกับตลาดที่เคลื่อนไหวในกรอบ ส่วนการเทรดแบบ “ทะลุ” (Breakout Trading) คือการเข้าเทรดเมื่อราคาbreakผ่านแนวรับหรือแนวต้านที่สำคัญไปได้ โดยคาดว่าราคาจะเคลื่อนที่ไปในทิศทางนั้นๆ ต่อไปอย่างรุนแรง เหมาะกับตลาดที่มีแนวโน้มชัดเจนและมีโมเมนตัมที่แข็งแกร่ง