EBITDA สูตร: ทำความเข้าใจ กำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย พร้อมวิธีคำนวณและประยุกต์ใช้ในธุรกิจไทย

ในแวดวงการเงินและการลงทุน มีตัวชี้วัดหลายประการที่นักลงทุนและผู้ประกอบการนำมาใช้ในการประเมินผลงานและความมั่นคงของบริษัท หนึ่งในนั้นคือ EBITDA ซึ่งเป็นเครื่องมือวิเคราะห์ที่ช่วยให้เข้าใจกำไรจากการดำเนินงานหลักของธุรกิจได้อย่างชัดเจน บทความนี้จะอธิบายรายละเอียดเกี่ยวกับ EBITDA รวมถึงวิธีคำนวณ ความสำคัญ ข้อดี ข้อเสีย และการนำไปใช้ในตลาดและธุรกิจไทย เพื่อให้คุณสามารถประยุกต์ใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ภาพประกอบโลกการเงินพร้อมกราฟแผนภูมิและบุคลากรธุรกิจกำลังหารือการวิเคราะห์ EBITDA

การรู้จัก EBITDA จะช่วยให้มองเห็นศักยภาพในการสร้างกำไรจากกิจกรรมหลักของธุรกิจ โดยปราศจากการบิดเบือนจากปัจจัยภายนอก เช่น การจัดหาเงินทุน การเสียภาษี หรือค่าใช้จ่ายที่ไม่เกี่ยวข้องกับเงินสดโดยตรง ทำให้ภาพรวมของธุรกิจชัดเจนยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกันของแต่ละบริษัท

ภาพประกอบการแบ่งส่วนกำไรธุรกิจพร้อมป้ายกำกับสำหรับดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย

EBITDA คืออะไร? ทำความเข้าใจก่อนใช้สูตรคำนวณ

EBITDA ย่อมาจากกำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย เป็นตัววัดที่ช่วยประเมินผลการดำเนินงานหลักของบริษัท โดยลบผลกระทบจากองค์ประกอบที่ไม่สัมพันธ์กับการดำเนินงานโดยตรง เช่น ค่าใช้จ่ายจากหนี้สิน ภาระทางภาษี หรือการกระจายต้นทุนสินทรัพย์ที่ไม่ใช่เงินสด

เมื่อเข้าใจ EBITDA แล้ว คุณจะสามารถวิเคราะห์ความสามารถในการทำกำไรจากแกนกลางของธุรกิจได้ โดยไม่ต้องกังวลกับความแตกต่างในนโยบายการเงิน การเก็บภาษี หรือการจัดการสินทรัพย์ระยะยาว ซึ่งช่วยให้การเปรียบเทียบระหว่างบริษัททำได้ง่ายและยุติธรรมมากขึ้น

ภาพประกอบมุมมองที่ชัดเจนและโปร่งใสของกำไรธุรกิจโดยลบผลกระทบจากนโยบายการเงินออกไป

แกะกล่อง EBITDA สูตร: วิธีคำนวณอย่างละเอียด

คุณสามารถคำนวณ EBITDA ได้หลายแนวทาง โดยแนวทางที่ได้รับความนิยมคือการเริ่มจากกำไรสุทธิแล้วเพิ่มรายการที่เกี่ยวข้องกลับคืน หรือเริ่มจากกำไรจากการดำเนินงาน

สูตรที่ 1: คำนวณ EBITDA จากกำไรสุทธิ

EBITDA = กำไรสุทธิ + ดอกเบี้ยจ่าย + ภาษีเงินได้ + ค่าเสื่อมราคา + ค่าตัดจำหน่าย

สูตรที่ 2: คำนวณ EBITDA จากกำไรจากการดำเนินงาน

EBITDA = EBIT + ค่าเสื่อมราคา + ค่าตัดจำหน่าย

รายละเอียดส่วนประกอบในสูตร:

  • กำไรสุทธิ: คือจำนวนกำไรที่เหลือหลังหักค่าใช้จ่ายทั้งหมด รวมถึงดอกเบี้ยและภาษี
  • ดอกเบี้ยจ่าย: คือต้นทุนที่เกิดจากการกู้ยืมเงินของบริษัท
  • ภาษีเงินได้: คือส่วนที่บริษัทต้องส่งให้รัฐบาล
  • ค่าเสื่อมราคา: คือการกระจายต้นทุนของสินทรัพย์ถาวร เช่น อาคารหรือเครื่องจักร ตามอายุการใช้งาน ซึ่งไม่ใช่การไหลออกของเงินสด
  • ค่าตัดจำหน่าย: คล้ายกับค่าเสื่อมราคา แต่สำหรับสินทรัพย์ไม่มีตัวตน เช่น สิทธิบัตรหรือความดีงามของแบรนด์ ซึ่งก็ไม่เกี่ยวข้องกับเงินสดเช่นกัน
  • EBIT: คือกำไรก่อนหักดอกเบี้ยและภาษี ซึ่งตรงกับกำไรจากการดำเนินงานในงบกำไรขาดทุน

ตัวอย่างการคำนวณพื้นฐาน:
สมมติบริษัท A มีข้อมูลดังนี้:

  • กำไรสุทธิ: 1,000,000 บาท
  • ดอกเบี้ยจ่าย: 100,000 บาท
  • ภาษีเงินได้: 200,000 บาท
  • ค่าเสื่อมราคา: 150,000 บาท
  • ค่าตัดจำหน่าย: 50,000 บาท

ด้วยสูตรที่ 1:
EBITDA = 1,000,000 + 100,000 + 200,000 + 150,000 + 50,000 = 1,500,000 บาท

ตัวอย่างการคำนวณ EBITDA จากบริษัทในตลาดหุ้นไทย

เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนยิ่งขึ้น ลองดูข้อมูลสมมติของบริษัทสบายใจ จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นบริษัทจดทะเบียนใน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ในกลุ่มค้าปลีก จากงบกำไรขาดทุนปี 2566 (หน่วย: ล้านบาท):

รายการ จำนวนเงิน (ล้านบาท)
รายได้จากการขายและบริการ 5,000
ต้นทุนขายและบริการ 3,000
กำไรขั้นต้น 2,000
ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร 1,200
กำไรจากการดำเนินงาน (EBIT) 800
ดอกเบี้ยจ่าย 50
กำไรก่อนภาษี 750
ภาษีเงินได้ 150
กำไรสุทธิ 600
ข้อมูลเพิ่มเติม (จากหมายเหตุประกอบงบฯ)
ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย 250

ขั้นตอนการคำนวณ EBITDA สำหรับบริษัทสบายใจ จำกัด (มหาชน):

แนวทางที่ 1: เริ่มจากกำไรสุทธิ

EBITDA = กำไรสุทธิ + ดอกเบี้ยจ่าย + ภาษีเงินได้ + ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย

EBITDA = 600 + 50 + 150 + 250 = 1,050 ล้านบาท

แนวทางที่ 2: เริ่มจากกำไรจากการดำเนินงาน

EBITDA = กำไรจากการดำเนินงาน + ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย

EBITDA = 800 + 250 = 1,050 ล้านบาท

ไม่ว่าจะใช้วิธีไหน ผลลัพธ์ก็ยังคงเป็น 1,050 ล้านบาท ซึ่งสะท้อนถึงกำไรจากการดำเนินงานหลักของบริษัท ก่อนที่จะถูกหักด้วยดอกเบี้ย ภาษี และค่าใช้จ่ายที่ไม่ใช่เงินสด ทำให้เห็นภาพที่แท้จริงของศักยภาพธุรกิจ

EBITDA vs. EBIT: ความแตกต่างและเหตุผลที่ต้องรู้

EBITDA กับ EBIT เป็นตัววัดที่ใกล้เคียงกัน แต่มีจุดต่างที่สำคัญ ซึ่งแต่ละตัวเหมาะสำหรับการวิเคราะห์ในมุมที่ต่างออกไป

EBIT: คือกำไรจากการดำเนินงาน หรือกำไรก่อนหักดอกเบี้ยและภาษี ซึ่งมักปรากฏในงบกำไรขาดทุนก่อนรายการเหล่านั้น

สูตร EBIT: EBIT = รายได้จากการขาย – ต้นทุนขาย – ค่าใช้จ่ายดำเนินงาน (ไม่รวมดอกเบี้ยและภาษี) – ค่าเสื่อมราคา – ค่าตัดจำหน่าย

คุณสมบัติ EBIT EBITDA
ความหมาย กำไรก่อนหักดอกเบี้ยและภาษี กำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย
รวมค่าเสื่อมราคา/ตัดจำหน่าย? รวม (หักออกแล้ว) ไม่รวม (บวกกลับ)
สะท้อนผลการดำเนินงาน? สะท้อนความสามารถในการทำกำไรจากการดำเนินงานหลังหักค่าใช้จ่ายที่ไม่ใช่เงินสด สะท้อนความสามารถในการทำกำไรจากการดำเนินงานหลักก่อนหักค่าใช้จ่ายที่ไม่ใช่เงินสด
เหมาะสำหรับ การเปรียบเทียบบริษัทที่มีโครงสร้างเงินทุนและภาษีคล้ายกัน การเปรียบเทียบบริษัทในอุตสาหกรรมเดียวกันที่มีโครงสร้างเงินทุน ภาษี และนโยบายการลงทุนในสินทรัพย์ที่แตกต่างกัน

นักลงทุนและนักวิเคราะห์ควรพิจารณาทั้งสองตัวนี้ เพราะ EBIT แสดงภาพกำไรจากการดำเนินงานที่ใกล้เคียงความจริง โดยคำนึงถึงการลงทุนในสินทรัพย์ ในขณะที่ EBITDA ให้มุมมองที่บริสุทธิ์กว่า โดยลบผลจากนโยบายการเงินและภาษีออก ทำให้เหมาะสำหรับการเปรียบเทียบที่กว้างขวาง

ทำไม EBITDA ถึงสำคัญ? บทบาทในการวิเคราะห์ธุรกิจและการลงทุน

EBITDA ได้รับความนิยมในวงการการเงินด้วยเหตุผลหลายอย่างที่ช่วยเสริมการตัดสินใจ

การประเมินผลการดำเนินงานหลัก

ตัวชี้วัดนี้ช่วยแยกแยะประสิทธิภาพการดำเนินงานที่แท้จริง โดยกำจัดปัจจัยภายนอก เช่น ดอกเบี้ยที่ขึ้นกับหนี้สิน ภาษีที่ขึ้นกับกฎหมาย หรือค่าเสื่อมราคาที่ขึ้นกับการลงทุน ทำให้เห็นชัดว่าธุรกิจสร้างกำไรจากกิจกรรมหลักได้ดีแค่ไหน โดยเฉพาะในตลาดไทยที่บริษัทเผชิญความหลากหลายในโครงสร้างการเงิน

การเปรียบเทียบระหว่างบริษัทและอุตสาหกรรม

ประโยชน์เด่นชัดคือการเปรียบเทียบผลงานบริษัทในอุตสาหกรรมเดียวกันได้อย่างเท่าเทียม แม้จะมีหนี้สินหรือนโยบายภาษีต่างกัน เช่น บริษัทโทรคมนาคมในไทยที่อาจมีโครงข่ายและค่าเสื่อมราคาไม่เท่ากัน EBITDA ช่วยเผยประสิทธิภาพจริงของแต่ละราย ซึ่งเป็นประโยชน์สำหรับนักลงทุนที่ต้องการมองข้ามความแตกต่างเหล่านั้น

การประเมินมูลค่ากิจการ

EBITDA มีบทบาทสำคัญในการกำหนดมูลค่าธุรกิจ โดยเฉพาะในดีลซื้อขายหรือการวิเคราะห์หุ้น นักวิเคราะห์มักนำไปคำนวณ EV/EBITDA ซึ่งเป็นอัตราส่วนที่ช่วยเปรียบเทียมมูลค่าบริษัท โดยไม่สนใจหนี้หรือภาษี ทำให้การประเมินในตลาดไทยที่เต็มไปด้วยความหลากหลายทำได้แม่นยำยิ่งขึ้น

การพิจารณาความสามารถในการชำระหนี้

แม้ไม่ใช่ตัวแทนกระแสเงินสดโดยตรง แต่ EBITDA ให้ข้อมูลเกี่ยวกับศักยภาพการสร้างรายได้ก่อนชำระดอกเบี้ยและภาษี สถาบันการเงินในไทยมักใช้ในการตรวจสอบความสามารถชำระหนี้ โดยคำนวณอัตราส่วนหนี้ต่อ EBITDA เพื่อประเมินว่าบริษัทมีฐานะรองรับภาระได้มากน้อยแค่ไหน โดยเฉพาะในยุคที่อัตราดอกเบี้ยผันผวน

ข้อควรระวังในการใช้ EBITDA และข้อจำกัด

ถึงแม้ EBITDA จะมีประโยชน์ แต่ก็มีข้อจำกัดที่ต้องระวังเพื่อหลีกเลี่ยงการตีความผิด

  • ไม่ใช่กระแสเงินสด: มันไม่ครอบคลุมการเปลี่ยนแปลงเงินทุนหมุนเวียนหรือค่าใช้จ่ายลงทุน ซึ่งจำเป็นสำหรับการดำเนินงานต่อเนื่องและการเติบโต
  • อาจถูกใช้เพื่อปรับแต่งงบ: บริษัทที่มีหนี้สูงหรือลงทุนสินทรัพย์มาก อาจเน้น EBITDA เพื่อให้ผลงานดูดี ในขณะที่กำไรสุทธิอาจต่ำหรือขาดทุนจากดอกเบี้ยและค่าเสื่อมราคา
  • ไม่เหมาะกับทุกอุตสาหกรรม: ในภาคที่ใช้ทุนสูง เช่น อุตสาหกรรมหนักหรือซอฟต์แวร์ที่มีสินทรัพย์ไม่มีตัวตนมาก EBITDA อาจไม่สะท้อนภาพจริง รวมถึงภาคการเงินที่ดอกเบี้ยเป็นส่วนหลักของธุรกิจ

ข้อผิดพลาดที่พบบ่อยสำหรับนักลงทุนไทย

ในตลาดหุ้นไทย นักลงทุนควรหลีกเลี่ยงข้อผิดพลาดเหล่านี้เมื่อใช้ EBITDA:

  • มองข้ามโครงสร้างหนี้: บริษัทไทยหลายแห่งมีหนี้จำนวนมาก ซึ่งดอกเบี้ยสูงอาจกระทบกำไรสุทธิ แม้ EBITDA จะน่าดู ต้องพิจารณาความสามารถชำระหนี้และอัตราส่วนหนี้ต่อทุนด้วย
  • ไม่พิจารณา CAPEX: โดยเฉพาะอุตสาหกรรมที่ต้องลงทุนต่อเนื่อง เช่น พลังงานหรือโทรคมนาคม EBITDA สูงอาจไม่แปลว่ามีเงินสดเหลือ หากต้องใช้กำไรไปลงทุนรักษาตำแหน่งตลาด
  • เปรียบเทียบข้ามอุตสาหกรรมโดยตรง: การนำ EBITDA ไปเทียบอุตสาหกรรมต่างกัน เช่น อสังหาฯ กับเทคโนโลยี อาจนำไปสู่ข้อสรุปที่คลาดเคลื่อน เนื่องจากโครงสร้างต้นทุนแตกต่าง
  • ละเลยนโยบายบัญชี: ต้องเข้าใจนโยบายการบันทึกบัญชีของบริษัท โดยเฉพาะการรับรู้รายได้และค่าใช้จ่าย ซึ่งกระทบ EBITDA การตรวจหมายเหตุงบการเงินจึงสำคัญ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ของไทยย้ำถึงความโปร่งใสในรายงานการเงิน

EBITDA Margin สูตร: การประเมินประสิทธิภาพการทำกำไร

EBITDA Margin เป็นอัตราส่วนที่วัดประสิทธิภาพการสร้างกำไรจากการดำเนินงานหลัก โดยบอกว่าทุกบาทของรายได้ บริษัททำ EBITDA ได้เท่าไร

สูตร EBITDA Margin:

EBITDA Margin = (EBITDA / รายได้) x 100%

ความหมายและการตีความ:

  • ประสิทธิภาพการดำเนินงาน: Margin สูงบ่งชี้ว่าบริษัทควบคุมต้นทุนได้ดี และแปลงรายได้เป็นกำไรหลักได้มาก โดยไม่รวมดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย
  • การเปรียบเทียบ: ช่วยเทียบประสิทธิภาพระหว่างบริษัทในอุตสาหกรรมเดียวกัน โดยไม่กระทบจากปัจจัยภายนอก ทำให้เห็นจุดแข็งจุดอ่อนชัดเจน
  • แนวโน้ม: การติดตาม Margin ตามช่วงเวลาช่วยให้เห็นการปรับปรุงหรือถดถอยในประสิทธิภาพทำกำไร

โดยปกติ Margin ที่ดีจะขึ้นกับอุตสาหกรรม เช่น อุตสาหกรรมแข่งขันสูงอาจมี Margin ต่ำ ในขณะที่อุตสาหกรรมที่มีอำนาจต่อรองสูงจะมี Margin สูงกว่า ในบริบทไทย นักลงทุนมักใช้ตัวนี้เพื่อประเมินศักยภาพระยะยาว

สรุป: ใช้ EBITDA สูตรอย่างชาญฉลาดในบริบทไทย

EBITDA เป็นเครื่องมือที่แข็งแกร่งในการวิเคราะห์ประสิทธิภาพการดำเนินงานหลัก โดยเฉพาะสำหรับการเปรียบเทียบบริษัทในตลาดหุ้นไทยที่มีโครงสร้างเงินทุนและนโยบายลงทุนต่างกัน แต่การพึ่งพามันเพียงตัวเดียวอาจเสี่ยง

นักลงทุนและผู้ประกอบการในไทยควรนำ EBITDA ไปใช้ร่วมกับตัวชี้วัดอื่น เช่น กำไรสุทธิ กระแสเงินสดจากการดำเนินงาน อัตราส่วนหนี้ต่อทุน และค่าใช้จ่ายลงทุน เพื่อภาพรวมทางการเงินที่ครบถ้วน โดยเฉพาะเมื่อวิเคราะห์บริษัทใน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ควรอ้างอิงงบการเงินเต็มฉบับจากบริษัท และตรวจสอบจากแหล่งน่าเชื่อถือ เช่น เว็บไซต์ SET หรือ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เพื่อการตัดสินใจที่รอบคอบ

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ EBITDA สูตร

EBITDA คืออะไร และมีประโยชน์อย่างไรต่อธุรกิจไทย?

EBITDA ย่อมาจากกำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย มีประโยชน์ต่อธุรกิจไทยในการประเมินความสามารถในการทำกำไรจากการดำเนินงานหลัก โดยไม่ถูกบิดเบือนจากโครงสร้างเงินทุน นโยบายภาษี หรือการลงทุนในสินทรัพย์ ทำให้สามารถเปรียบเทียบประสิทธิภาพระหว่างบริษัทต่างๆ ในอุตสาหกรรมเดียวกันได้อย่างยุติธรรมยิ่งขึ้น

EBITDA สูตรการคำนวณที่ถูกต้องจากงบการเงินในประเทศไทยเป็นอย่างไร?

สูตรที่นิยมใช้คือ:

  • จากกำไรสุทธิ: EBITDA = กำไรสุทธิ + ดอกเบี้ยจ่าย + ภาษีเงินได้ + ค่าเสื่อมราคา + ค่าตัดจำหน่าย
  • จากกำไรจากการดำเนินงาน (EBIT): EBITDA = EBIT + ค่าเสื่อมราคา + ค่าตัดจำหน่าย

ข้อมูลเหล่านี้สามารถหาได้จากงบกำไรขาดทุนและหมายเหตุประกอบงบการเงินของบริษัทจดทะเบียนในไทย

EBITDA กับ EBIT แตกต่างกันอย่างไร และตัวไหนสำคัญกว่าสำหรับการวิเคราะห์หุ้นไทย?

EBITDA คือ กำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย ส่วน EBIT คือ กำไรก่อนหักดอกเบี้ยและภาษี (ซึ่งหักค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายแล้ว) ความแตกต่างหลักคือ EBITDA ไม่รวมค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย

ทั้งสองตัวชี้วัดมีความสำคัญในการวิเคราะห์หุ้นไทย ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์:

  • EBITDA: เหมาะสำหรับการเปรียบเทียบประสิทธิภาพการดำเนินงานหลักระหว่างบริษัทที่มีโครงสร้างเงินทุนและภาษีต่างกัน หรือในอุตสาหกรรมที่ต้องลงทุนสูง
  • EBIT: ให้ภาพที่ใกล้เคียงกับกำไรจากการดำเนินงานจริงที่บริษัทสร้างได้หลังจากคำนึงถึงการลงทุนในสินทรัพย์

นักลงทุนควรพิจารณาทั้งคู่เพื่อประกอบการตัดสินใจ

EBITDA Margin สูตรบอกอะไรเราได้บ้าง และค่า Margin ที่ดีควรเป็นเท่าไรในตลาดหุ้นไทย?

EBITDA Margin = (EBITDA / รายได้) x 100% เป็นอัตราส่วนที่บอกถึงประสิทธิภาพในการทำกำไรจากการดำเนินงานหลักต่อทุกๆ บาทของรายได้

ค่า Margin ที่ดีจะแตกต่างกันไปตามอุตสาหกรรมและลักษณะธุรกิจในตลาดหุ้นไทย ตัวอย่างเช่น:

  • อุตสาหกรรมเทคโนโลยีหรือบริการบางประเภทอาจมี EBITDA Margin สูง
  • อุตสาหกรรมค้าปลีกหรืออุตสาหกรรมที่มีการแข่งขันสูงอาจมี EBITDA Margin ต่ำกว่า

สิ่งสำคัญคือการเปรียบเทียบกับคู่แข่งในอุตสาหกรรมเดียวกันและดูแนวโน้มของบริษัทนั้นๆ

มีข้อควรระวังอะไรบ้างในการใช้ EBITDA วิเคราะห์บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET)?

นักลงทุนไทยควรระวัง:

  • ไม่ใช่กระแสเงินสด: EBITDA ไม่รวมค่าใช้จ่ายลงทุน (CAPEX) และการเปลี่ยนแปลงเงินทุนหมุนเวียน
  • การตกแต่งงบฯ: บางบริษัทอาจเน้น EBITDA เพื่อแสดงผลงานที่ดีเกินจริง โดยเฉพาะเมื่อมีหนี้สินสูง
  • ไม่เหมาะกับทุกอุตสาหกรรม: เช่น ธุรกิจการเงิน หรือธุรกิจที่มีสินทรัพย์ถาวรสูงมาก
  • ละเลยโครงสร้างหนี้: ต้องพิจารณาภาระดอกเบี้ยและการชำระคืนเงินต้นร่วมด้วย

ควรใช้ EBITDA ประกอบกับตัวชี้วัดอื่นๆ และอ่านหมายเหตุประกอบงบการเงินอย่างละเอียด

EBITDA สามารถใช้ประเมินมูลค่ากิจการของ SME ในไทยได้อย่างไร?

EBITDA เป็นตัวชี้วัดที่นิยมใช้ในการประเมินมูลค่ากิจการของ SME ในไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการซื้อขายกิจการ เนื่องจากช่วยให้ผู้ซื้อเห็นความสามารถในการสร้างกำไรจากการดำเนินงานหลักของธุรกิจ โดยไม่คำนึงถึงโครงสร้างเงินทุนหรือนโยบายการบัญชีของเจ้าของเดิม

มักใช้ในการคำนวณอัตราส่วน EV/EBITDA เพื่อประเมินมูลค่าเปรียบเทียบกับ SME อื่นๆ ในอุตสาหกรรมเดียวกัน

ทำไมบางบริษัทถึงเน้นใช้ EBITDA แทนกำไรสุทธิ และนักลงทุนไทยควรเชื่อถือได้แค่ไหน?

บางบริษัทอาจเน้นใช้ EBITDA เนื่องจากต้องการแสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพการดำเนินงานหลักที่แข็งแกร่ง โดยตัดผลกระทบจากค่าใช้จ่ายที่ไม่ใช่เงินสด (ค่าเสื่อมราคา/ค่าตัดจำหน่าย) และค่าใช้จ่ายทางการเงิน (ดอกเบี้ย) รวมถึงภาระภาษีออกไป ซึ่งอาจทำให้ตัวเลขดูดีกว่ากำไรสุทธิ

นักลงทุนไทยควรใช้ความระมัดระวังและไม่เชื่อถือ EBITDA เพียงอย่างเดียว ควรวิเคราะห์กำไรสุทธิ, กระแสเงินสด, หนี้สิน และปัจจัยอื่นๆ ร่วมด้วย เพื่อให้เห็นภาพที่ครบถ้วนและเป็นจริงของบริษัท

ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายมีผลต่อ EBITDA อย่างไรในบริบทของบริษัทไทย?

ค่าเสื่อมราคา (Depreciation) และค่าตัดจำหน่าย (Amortization) เป็นค่าใช้จ่ายที่ไม่ใช่เงินสดที่เกิดจากการใช้งานสินทรัพย์ถาวรและสินทรัพย์ไม่มีตัวตนตามลำดับ

ในบริบทของบริษัทไทย EBITDA จะบวกค่าใช้จ่ายเหล่านี้กลับเข้าไป ทำให้ตัวเลข EBITDA สูงกว่ากำไรสุทธิหรือ EBIT ซึ่งหมายความว่า EBITDA ตัดผลกระทบของนโยบายการลงทุนในสินทรัพย์และวิธีการคิดค่าเสื่อมราคา/ค่าตัดจำหน่ายออกไป เพื่อให้เห็นกำไรจากการดำเนินงานหลักที่บริสุทธิ์ยิ่งขึ้น

EBITDA มีความเชื่อมโยงกับกระแสเงินสดของบริษัทในไทยหรือไม่?

EBITDA มักถูกใช้เป็นตัวประมาณการคร่าวๆ ของกระแสเงินสดจากการดำเนินงาน (Operating Cash Flow) เนื่องจากเป็นการบวกค่าใช้จ่ายที่ไม่ใช่เงินสดกลับคืนไป อย่างไรก็ตาม EBITDA ไม่ได้คำนึงถึงการเปลี่ยนแปลงของเงินทุนหมุนเวียน (เช่น ลูกหนี้การค้า, สินค้าคงคลัง) และที่สำคัญคือไม่หักค่าใช้จ่ายลงทุน (CAPEX) ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับธุรกิจในการดำเนินงานและเติบโต

ดังนั้น EBITDA จึงไม่ใช่ตัวชี้วัดกระแสเงินสดที่แม่นยำที่สุด แต่เป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในการประเมินความสามารถในการสร้างกำไรก่อนที่จะพิจารณาปัจจัยอื่นๆ ที่ส่งผลต่อเงินสดจริง

EBITDA ที่เป็นลบหมายความว่าอย่างไรสำหรับธุรกิจในประเทศไทย?

EBITDA ที่เป็นลบหมายความว่าธุรกิจนั้นมีผลขาดทุนจากการดำเนินงานหลัก แม้จะยังไม่หักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายก็ตาม

นี่เป็นสัญญาณอันตรายที่บ่งชี้ว่าธุรกิจกำลังประสบปัญหาในการสร้างรายได้จากการดำเนินงานหลักเพื่อครอบคลุมต้นทุนการดำเนินงานพื้นฐาน ซึ่งอาจนำไปสู่ปัญหาทางการเงินที่รุนแรงหากสถานการณ์ไม่ดีขึ้น

發佈留言

發佈留言必須填寫的電子郵件地址不會公開。 必填欄位標示為 *