Credit Default Swap คืออะไร? 5 สิ่งที่คุณต้องรู้เกี่ยวกับเครื่องมือการเงินสองคม

บทนำ: Credit Default Swap (CDS) คืออะไร และทำไมถึงสำคัญ?

สัญญาแลกเปลี่ยนหนี้เสียหรือที่รู้จักกันในชื่อ Credit Default Swap (CDS) ถือเป็นเครื่องมือทางการเงินประเภทอนุพันธ์ที่ซับซ้อนแต่มีพลังมาก โดยมีบทบาทเด่นชัดในตลาดการเงินทั่วโลก หลักๆ แล้ว CDS ทำงานคล้ายกับการประกันภัยที่ช่วยปกป้องความเสี่ยงด้านเครดิตสำหรับผู้ถือตราสารหนี้ หรือใครก็ตามที่กังวลว่าลูกหนี้จะไม่สามารถชำระคืนตามกำหนดได้

ภาพประกอบโล่ทางการเงินป้องกันพันธบัตรจากลูกศรที่ตกแทนความเสี่ยงผิดนัดชำระหนี้

ในยุคที่ตลาดการเงินเต็มไปด้วยความผันผวน การรู้จัก CDS จึงกลายเป็นเรื่องสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นนักลงทุนรายใหญ่ สถาบันการเงิน หรือแม้แต่บุคคลทั่วไปที่สนใจกลไกตลาด เครื่องมือนี้ช่วยให้ผู้ลงทุนจัดการกับความเสี่ยงจากการผิดนัดชำระหนี้ของบริษัท รัฐบาล หรือองค์กรอื่นๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะนำมาใช้ในการป้องกันความเสี่ยงหรือการเก็งกำไร แต่ต้องไม่ลืมว่ามันก็ซ่อนความเสี่ยงและความยุ่งยากไว้มาก ซึ่งหากไม่เข้าใจให้ถ่องแท้ อาจนำไปสู่ผลกระทบรุนแรงอย่างที่เคยเกิดขึ้นในวิกฤตการเงินครั้งก่อนๆ เช่นกัน

Credit Default Swap (CDS) ทำงานอย่างไร? กลไกและผู้เล่นหลัก

สัญญา Credit Default Swap เกิดจากการตกลงระหว่างสองฝ่ายหลัก โดยมีเป้าหมายในการถ่ายโอนความเสี่ยงด้านเครดิตจากฝ่ายหนึ่งไปสู่อีกฝ่าย กลไกของมันคล้ายกับการทำประกันภัยแบบธรรมดา แต่ปรับให้เหมาะกับบริบทของสินเชื่อและตราสารหนี้โดยเฉพาะ

ภาพประกอบมือสองข้างจับมือเหนือสัญญาพร้อมเงินไหลจากฝ่ายหนึ่งไปอีกฝ่ายแทน CDS

ผู้เล่นหลักในสัญญา CDS: ใครได้ใครเสีย?

ในสัญญา CDS จะมีผู้มีส่วนร่วมหลักสามกลุ่มที่สำคัญ ได้แก่

  • ผู้ซื้อความคุ้มครอง: คือคนที่อยากปกป้องตัวเองจากความเสี่ยงที่สินทรัพย์อ้างอิงจะผิดนัดชำระหนี้ พวกเขาจะจ่ายเบี้ยประกันหรือที่เรียกว่า CDS Spread ให้ผู้ขายอย่างสม่ำเสมอ เพื่อแลกกับการได้รับค่าชดเชยหากเกิดเหตุการณ์นั้นขึ้น ผู้ซื้อส่วนใหญ่มักเป็นธนาคารที่ให้กู้ยืม บริษัทที่ถือพันธบัตร หรือกองทุนที่ต้องการลดความเสี่ยงในพอร์ตการลงทุน
  • ผู้ขายความคุ้มครอง: คือฝ่ายที่ยอมรับความเสี่ยงนั้นมาแทน พวกเขาจะได้รับเบี้ยประกันจากผู้ซื้อ และต้องรับผิดชอบจ่ายชดเชยหากสินทรัพย์อ้างอิงผิดนัด ผู้ขายมักเป็นธนาคารใหญ่ บริษัทประกันภัย หรือกองทุนเฮดจ์ที่มองเห็นโอกาสทำกำไรจากความเสี่ยง
  • สินทรัพย์อ้างอิง: คือบริษัทหรือหน่วยงานที่ออกตราสารหนี้ ซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดความเสี่ยงที่ถูกแลกเปลี่ยน เช่น บริษัทที่ออกหุ้นกู้ รัฐบาลที่ออกพันธบัตร หรือแม้แต่ประเทศที่กู้เงิน สัญญา CDS จะติดตามสถานะการชำระหนี้ของหน่วยงานเหล่านี้

กระแสเงินและการชำระเบี้ยประกัน (Premium/Spread)

ผู้ซื้อความคุ้มครองจะจ่ายเบี้ยประกันหรือ CDS Spread ให้ผู้ขายเป็นประจำ เช่น รายไตรมาสหรือรายปี เบี้ยนี้คือค่าตอบแทนสำหรับการรับความเสี่ยง หากสินทรัพย์อ้างอิงดูเสี่ยงมากขึ้น เบี้ยก็จะแพงขึ้นตาม เพราะผู้ขายต้องแบกรับภาระที่หนักกว่าเดิม

เหตุการณ์ผิดนัดชำระ (Credit Event): จุดเปลี่ยนของสัญญา CDS

สิ่งที่เป็นแกนกลางของสัญญา CDS คือเหตุการณ์ผิดนัดชำระหนี้หรือ Credit Event ซึ่งเป็นเงื่อนไขที่กำหนดไว้ว่าหากเกิดขึ้น ผู้ขายต้องจ่ายชดเชยให้ผู้ซื้อ เหตุการณ์เหล่านี้ไม่ได้จำกัดแค่การไม่จ่ายดอกเบี้ยหรือเงินต้นเท่านั้น แต่ครอบคลุมสถานการณ์ที่บ่งบอกถึงปัญหาเครดิตของสินทรัพย์อ้างอิง โดยทั่วไปที่พบได้บ่อยมีดังนี้

ภาพประกอบห่วงโซ่ที่ขาดแทนเหตุการณ์ผิดนัดชำระหนี้พร้อมเฟืองหมุนในพื้นหลัง
  • การล้มละลาย: สินทรัพย์อ้างอิงไม่สามารถดำเนินธุรกิจต่อได้และเข้าสู่กระบวนการล้มละลาย
  • การผิดนัดชำระหนี้: ไม่สามารถจ่ายดอกเบี้ยหรือเงินต้นตามกำหนด
  • การปรับโครงสร้างหนี้: เปลี่ยนแปลงเงื่อนไขหนี้ในทางที่เสียเปรียบเจ้าหนี้ เช่น ลดดอกเบี้ย ยืดเวลาจ่าย หรือลดเงินต้น
  • การปฏิเสธหนี้: สินทรัพย์อ้างอิงปฏิเสธชำระหรือประกาศหยุดชำระชั่วคราว
  • การเร่งรัดหนี้: เจ้าหนี้เรียกคืนหนี้ทั้งหมดก่อนกำหนดเพราะผิดสัญญา

เมื่อ Credit Event เกิดขึ้น สัญญาจะถูก激活 และผู้ขายต้องทำตามหน้าที่ชดเชยตามที่ตกลงกันไว้ ซึ่งช่วยให้ผู้ซื้อได้รับการปกป้องอย่างทันท่วงที

การชำระหนี้ (Settlement) ของ CDS: เงินสดหรือสินทรัพย์?

หลังจากเกิด Credit Event แล้ว การชำระหนี้ในสัญญา CDS สามารถเลือกได้สองรูปแบบหลัก ขึ้นอยู่กับข้อตกลงในสัญญา

การชำระหนี้ด้วยเงินสด (Cash Settlement)

วิธีนี้เป็นที่นิยมมากที่สุด ผู้ขายจะจ่ายเงินสดให้ผู้ซื้อ โดยคำนวณจากส่วนต่างระหว่างมูลค่าหน้าตั๋วของตราสารหนี้กับมูลค่าตลาดหลังผิดนัด เช่น ถ้าพันธบัตรมีมูลค่าหน้า 100 ล้านบาท แต่หลังผิดนัดเหลือ 20 ล้าน ผู้ขายต้องจ่าย 80 ล้าน วิธีนี้สะดวกและรวดเร็ว เพราะไม่ต้องส่งมอบตราสารจริง

การชำระหนี้ด้วยสินทรัพย์อ้างอิง (Physical Settlement)

ผู้ซื้อจะส่งตราสารหนี้ที่ผิดนัดให้ผู้ขาย ขณะที่ผู้ขายจ่ายเงินสดเท่ามูลค่าหน้าตั๋วคืน วิธีนี้ซับซ้อนกว่าเพราะต้องจัดการสินทรัพย์จริง และอาจมีปัญหาสภาพคล่อง แต่ผู้ซื้อมั่นใจว่าจะได้เงินเต็มจำนวน

ประโยชน์และวัตถุประสงค์ของ Credit Default Swap (CDS)

CDS เป็นเครื่องมือที่นำไปใช้ได้หลากหลายในตลาดการเงิน ช่วยทั้งป้องกันและสร้างโอกาสใหม่ๆ

การป้องกันความเสี่ยงเครดิต (Hedging)

จุดประสงค์หลักคือการ hedging หรือป้องกันความเสี่ยงเครดิต ธนาคารหรือนักลงทุนที่ถือตราสารหนี้จำนวนมากสามารถใช้ CDS เพื่อคุ้มครองจากความเป็นไปได้ที่ผู้ออกจะผิดนัด เช่น ธนาคารที่ให้กู้บริษัทเอกชนอาจซื้อ CDS เพื่อรับชดเชยหากบริษัทล้ม ซึ่งช่วยบริหารความเสี่ยงในงบดุลและลดผลกระทบจากเหตุการณ์ไม่คาดฝัน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ก็ชี้ให้เห็นถึงประโยชน์นี้อย่างชัดเจน

การเก็งกำไร (Speculation)

นอกจากป้องกันแล้ว CDS ยังใช้เก็งกำไรได้ หากนักลงทุนเชื่อว่าบริษัทหรือประเทศจะผิดนัดในอนาคต ก็ซื้อ CDS เพื่อรอรับกำไรจากมูลค่าที่พุ่งขึ้น หากไม่เกิด ก็ขายความคุ้มครองเพื่อรับเบี้ยต่อเนื่อง โดยอาศัยความเชื่อมั่นในฐานะการเงินที่แข็งแกร่ง

การเปิดเผยความเสี่ยง (Exposure Management)

สถาบันการเงินใช้ CDS จัดการ exposure หรือความเสี่ยงรวมต่อลูกหนี้หรือภาคส่วน เช่น ถ้าธนาคารให้กู้ภาคอสังหาฯ มากเกินไป ก็ซื้อ CDS อ้างอิงบริษัทในภาคนั้นเพื่อกระจายความเสี่ยง โดยไม่ต้องขายสินทรัพย์จริงออก

ความเสี่ยงและข้อวิพากษ์วิจารณ์ต่อ Credit Default Swap (CDS)

ถึงแม้ CDS จะมีประโยชน์ แต่ก็มาพร้อมความเสี่ยงที่รุนแรง ซึ่งจุดประกายการวิจารณ์ โดยเฉพาะหลังวิกฤตการเงิน

ความเสี่ยงคู่สัญญา (Counterparty Risk)

ความเสี่ยงหลักคือ counterparty risk หรือผู้ขายอาจไม่สามารถจ่ายชดเชยได้หากผิดนัดเกิดขึ้น สิ่งนี้ชัดเจนในวิกฤต 2008 เมื่อ AIG ผู้ขาย CDS ใหญ่ประสบปัญหาจนรัฐบาลสหรัฐต้องช่วยเหลือเพื่อป้องกันระบบล้ม

ความเสี่ยงเชิงระบบ (Systemic Risk) และบทบาทในวิกฤตการณ์ปี 2008

CDS มีส่วนสำคัญในวิกฤต subprime 2008 โดยถูกมองว่าขยาย systemic risk ผ่านการซื้อขายที่ซับซ้อน ขาดโปร่งใส และปริมาณสัญญาที่เกินมูลค่าสินทรัพย์จริง เมื่อตลาดที่อยู่อาศัยสหรัฐล้ม CDS ที่เกี่ยวข้องกับสินเชื่อ subprime ก็ผิดนัดจำนวนมาก สร้างความตื่นตระหนกทั่วโลก

จากบทเรียนนี้ ผู้กำกับดูแลทั่วโลกปฏิรูประเบียบ โดยผลักดัน central clearing เพื่อให้ตัวกลางรับประกัน ลด counterparty risk และเพิ่มโปร่งใส ธนาคารแห่งประเทศไทย ก็เน้นกำกับดูแลอนุพันธ์เพื่อรักษาเสถียรภาพ

ความเสี่ยงด้านสภาพคล่องและราคา

CDS ยังเสี่ยง liquidity risk โดยเฉพาะในตลาดผิดปกติหรือหลัง Credit Event ซึ่งทำให้ซื้อขายหรือประเมินราคายาก นำไปสู่ความผันผวนและขาดทุน

CDS ในบริบทประเทศไทย: โอกาสและความท้าทาย

แม้ CDS จะสำคัญในตลาดโลก แต่ในไทยยังจำกัดตัวอยู่กับสถาบันใหญ่ที่ใช้บริหารความเสี่ยงตราสารหนี้ต่างประเทศหรือลูกหนี้ต่างชาติ

การเติบโตเผชิญอุปสรรค เช่น กฎระเบียบ ความรู้ผลิตภัณฑ์ และสภาพคล่องต่ำ แต่ด้วยตลาดตราสารหนี้ไทยที่ขยายตัวและนักลงทุนไทยสนใจต่างประเทศมากขึ้น CDS อาจมีบทบาทเพิ่มในอนาคต

BOT และ ก.ล.ต. มีหน้าที่กำกับดูแลอนุพันธ์รวมถึง CDS เพื่อโปร่งใสและลด systemic risk ผู้เกี่ยวข้องในตลาดไทยจึงต้องเตรียมความพร้อม

CDS Indices (ดัชนี CDS): อีกขั้นของความซับซ้อน

นอกจาก single-name CDS ที่อ้างอิงสินทรัพย์เดี่ยว ยังมี CDS indices หรือดัชนีที่อ้างอิงตะกร้าตราสารหนี้จากหลายบริษัท

ดัชนีดังๆ เช่น CDX สำหรับอเมริกาเหนือ และ iTraxx สำหรับยุโรปเอเชีย ช่วยให้นักลงทุนซื้อขายความเสี่ยงเครดิตของกลุ่มหรือภาคอุตสาหกรรมได้ง่าย เพิ่มการกระจายและสภาพคล่อง

การเทรด indices ช่วยเก็งกำไรหรือ hedging แนวโน้มเครดิตโดยรวม โดยไม่ต้องวิเคราะห์แต่ละบริษัทลึก แต่ก็ต้องการความเข้าใจสูง

สรุป: CDS เครื่องมือสองคมที่ต้องเข้าใจ

CDS เป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในการจัดการความเสี่ยงเครดิตและเก็งกำไร แต่ก็เป็นดาบสองคมที่เสี่ยงสูงหากขาดความเข้าใจ

จากบทบาทในวิกฤต 2008 เรารู้ว่ามันสามารถขยาย systemic risk ได้ ดังนั้นการกำกับดูแลที่เข้มงวดเพื่อโปร่งใสและลด counterparty risk จึงจำเป็น สำหรับนักลงทุน การรู้จัก CDS ไม่ใช่แค่พื้นฐาน แต่ต้องตระหนักถึงความเสี่ยงและบทเรียนประวัติศาสตร์ เพื่อใช้อย่างชาญฉลาดในตลาดที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ Credit Default Swap (CDS) (FAQs)

Credit Default Swap (CDS) กับการประกันภัยทั่วไป แตกต่างกันอย่างไรในมุมมองของนักลงทุนไทย?

แม้จะคล้ายกัน แต่ CDS มุ่งเน้นไปที่การประกันความเสี่ยงเครดิตของตราสารหนี้หรือบริษัท ไม่ใช่ทรัพย์สินส่วนบุคคลหรือเหตุการณ์ทั่วไป CDS เป็นเครื่องมืออนุพันธ์ที่สามารถซื้อขายได้ในตลาดรอง และมักใช้เพื่อการเก็งกำไรหรือบริหารความเสี่ยงในพอร์ตโฟลิโอขนาดใหญ่ ขณะที่ประกันภัยทั่วไปมุ่งเน้นที่การชดเชยความเสียหายตามมูลค่าที่แท้จริงและไม่ได้มีวัตถุประสงค์เพื่อการเก็งกำไร

ทำไม Credit Default Swap (CDS) ถึงได้รับความสนใจอย่างมากในช่วงวิกฤตการเงินโลกปี 2008 และบทเรียนที่ได้คืออะไร?

CDS ถูกกล่าวถึงมากในปี 2008 เนื่องจากถูกใช้เป็นเครื่องมือในการประกันความเสี่ยงของสินเชื่อที่อยู่อาศัยด้อยคุณภาพ (Subprime Mortgages) และมีการซื้อขายอย่างซับซ้อนเกินกว่ามูลค่าสินทรัพย์จริง เมื่อตลาดที่อยู่อาศัยล่มสลาย ทำให้ผู้ขาย CDS หลายราย (เช่น AIG) ไม่สามารถชำระหนี้ได้ บทเรียนที่ได้คือความเสี่ยงเชิงระบบที่อาจเกิดขึ้นได้หากไม่มีการกำกับดูแลที่เพียงพอ และความจำเป็นในการเพิ่มความโปร่งใสในตลาดอนุพันธ์

ในประเทศไทย บุคคลทั่วไปสามารถซื้อขาย Credit Default Swap (CDS) ได้โดยตรงหรือไม่ หรือมีช่องทางอื่นในการเข้าถึง?

โดยทั่วไปแล้ว บุคคลทั่วไปในประเทศไทยไม่สามารถซื้อขาย CDS ได้โดยตรง เนื่องจากเป็นเครื่องมืออนุพันธ์ที่ซับซ้อนและมีสภาพคล่องจำกัด ส่วนใหญ่จะจำกัดอยู่สำหรับสถาบันการเงินขนาดใหญ่หรือนักลงทุนสถาบันที่มีคุณสมบัติ อย่างไรก็ตาม นักลงทุนรายย่อยอาจเข้าถึงความเสี่ยงที่คล้ายกันได้ทางอ้อมผ่านกองทุนรวมบางประเภทที่มีการลงทุนในตราสารอนุพันธ์ หรือกองทุนเฮดจ์ฟันด์ที่อาจใช้ CDS เป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์การลงทุน

CDS Spread ที่เราเห็นในตลาด บอกอะไรเกี่ยวกับความเสี่ยงของบริษัทอ้างอิง?

CDS Spread เป็นตัวชี้วัดสำคัญที่สะท้อนถึงมุมมองของตลาดต่อความน่าเชื่อถือของบริษัทอ้างอิง หาก CDS Spread สูงขึ้น หมายความว่าตลาดมองว่าความเสี่ยงที่บริษัทอ้างอิงจะผิดนัดชำระหนี้เพิ่มขึ้น และผู้ซื้อความคุ้มครองต้องจ่ายเบี้ยประกันแพงขึ้นเพื่อป้องกันความเสี่ยงนั้น ในทางกลับกัน หาก CDS Spread ลดลง แสดงว่าตลาดมองว่าความเสี่ยงลดลงและบริษัทมีความน่าเชื่อถือมากขึ้น

“เหตุการณ์ผิดนัดชำระ (Credit Event)” ในสัญญา CDS ครอบคลุมอะไรบ้าง และมีการพิจารณาอย่างไรในบริบทของบริษัทไทย?

เหตุการณ์ผิดนัดชำระครอบคลุมสถานการณ์ที่บ่งชี้ถึงปัญหาเครดิตของบริษัทอ้างอิง เช่น การล้มละลาย การผิดนัดชำระหนี้ การปรับโครงสร้างหนี้ที่เป็นผลเสียต่อเจ้าหนี้ หรือการปฏิเสธหนี้ ในบริบทของบริษัทไทย การพิจารณาเหตุการณ์เหล่านี้จะอ้างอิงตามกฎหมายและข้อบังคับของประเทศไทย รวมถึงข้อกำหนดในสัญญาตราสารหนี้ที่บริษัทออก

Credit Default Swap (CDS) มีความเกี่ยวข้องหรือแตกต่างจาก Collateralized Debt Obligation (CDO) อย่างไร?

CDS และ CDO เป็นเครื่องมืออนุพันธ์ที่เกี่ยวข้องกับความเสี่ยงเครดิต แต่แตกต่างกัน CDS เป็นสัญญาประกันความเสี่ยงเครดิตของสินทรัพย์เดี่ยวหรือตะกร้าสินทรัพย์ ส่วน CDO เป็นตราสารหนี้ที่สร้างขึ้นจากการรวมและแบ่งชั้น (Tranche) กระแสเงินสดจากสินทรัพย์ที่มีหนี้เป็นหลักประกันหลายรายการเข้าด้วยกัน ซึ่งอาจรวมถึง CDS หรือสินเชื่อประเภทอื่น ๆ CDO มักถูกใช้เพื่อสร้างผลตอบแทนจากกลุ่มสินทรัพย์ แต่ก็มีความซับซับซ้อนสูงและเป็นส่วนหนึ่งของวิกฤตปี 2008 เช่นกัน

หากเกิดเหตุการณ์ผิดนัดชำระขึ้นจริง การชำระหนี้ (Settlement) ของ CDS จะดำเนินการอย่างไรในตลาดสากลและในประเทศไทย?

การชำระหนี้ของ CDS สามารถทำได้สองวิธีหลัก: 1. การชำระหนี้ด้วยเงินสด (Cash Settlement): ผู้ขายความคุ้มครองจะจ่ายส่วนต่างระหว่างมูลค่าหน้าตั๋วกับมูลค่าตลาดปัจจุบันของตราสารหนี้ที่ผิดนัดชำระหนี้ให้ผู้ซื้อ ซึ่งเป็นวิธีที่นิยมที่สุด และ 2. การชำระหนี้ด้วยสินทรัพย์อ้างอิง (Physical Settlement): ผู้ซื้อส่งมอบตราสารหนี้ที่ผิดนัดชำระหนี้ให้ผู้ขาย และผู้ขายจ่ายเงินสดเท่ามูลค่าหน้าตั๋วให้ผู้ซื้อ สำหรับประเทศไทย การดำเนินการจะขึ้นอยู่กับข้อตกลงในสัญญาและแนวปฏิบัติของสถาบันการเงินที่เกี่ยวข้อง ซึ่งโดยมากจะยึดตามมาตรฐานสากล

ธนาคารแห่งประเทศไทย (BOT) หรือ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) มีบทบาทในการกำกับดูแล Credit Default Swap (CDS) ในประเทศไทยอย่างไร?

ทั้งธนาคารแห่งประเทศไทย (BOT) และ ก.ล.ต. มีบทบาทในการกำกับดูแลเครื่องมืออนุพันธ์ในประเทศไทยเพื่อรักษาเสถียรภาพทางการเงินและคุ้มครองนักลงทุน ก.ล.ต. จะดูแลผลิตภัณฑ์อนุพันธ์ที่ซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์และผู้ประกอบธุรกิจหลักทรัพย์และสัญญาซื้อขายล่วงหน้า ส่วน BOT จะกำกับดูแลสถาบันการเงินภายใต้การดูแลของตน รวมถึงการทำธุรกรรมอนุพันธ์ที่เกี่ยวข้องกับอัตราแลกเปลี่ยนและอัตราดอกเบี้ย โดยมุ่งเน้นให้มีการบริหารความเสี่ยงที่เหมาะสมและเป็นไปตามกฎระเบียบ

การลงทุนในกองทุนที่มีการใช้ Credit Default Swap (CDS) เป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ มีความเสี่ยงและผลตอบแทนอย่างไรสำหรับนักลงทุนไทย?

กองทุนที่ใช้ CDS อาจมีวัตถุประสงค์เพื่อป้องกันความเสี่ยง (ลดความเสี่ยงจากการผิดนัดชำระหนี้) หรือเพื่อเก็งกำไร (สร้างผลตอบแทนจากความเคลื่อนไหวของ CDS Spread) สำหรับนักลงทุนไทย การลงทุนในกองทุนเหล่านี้มีความเสี่ยงสูงกว่ากองทุนทั่วไป เนื่องจาก CDS เป็นเครื่องมือที่ซับซ้อนและมีความผันผวนสูง ผลตอบแทนอาจสูงตามไปด้วยหากการคาดการณ์ถูกต้อง แต่ก็มีความเสี่ยงที่จะขาดทุนอย่างมากหากการคาดการณ์ผิดพลาด นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลกองทุนอย่างละเอียดและทำความเข้าใจนโยบายการลงทุนก่อนตัดสินใจ

Credit Default Swap (CDS) สามารถใช้เป็นเครื่องมือในการเก็งกำไรในตลาดการเงินไทยได้จริงหรือไม่ และมีความเสี่ยงด้านใดบ้าง?

ในทางทฤษฎี CDS สามารถใช้เป็นเครื่องมือในการเก็งกำไรได้ แต่ในตลาดการเงินไทยที่สภาพคล่องของ CDS ยังจำกัด การเข้าถึงเพื่อวัตถุประสงค์ในการเก็งกำไรโดยตรงสำหรับนักลงทุนทั่วไปทำได้ยาก ความเสี่ยงหลักๆ ได้แก่ ความเสี่ยงคู่สัญญา (ผู้ขายไม่สามารถชำระหนี้ได้) ความเสี่ยงด้านสภาพคล่อง (ยากต่อการซื้อขาย) ความเสี่ยงด้านราคา (ความผันผวนของ CDS Spread) และความเสี่ยงจากความซับซ้อนของผลิตภัณฑ์ที่อาจนำไปสู่การขาดทุนที่ไม่คาดคิด

發佈留言

發佈留言必須填寫的電子郵件地址不會公開。 必填欄位標示為 *