การบริหารจัดการงบประมาณถือเป็นหัวใจหลักในการขับเคลื่อนภาครัฐ เพราะมันสะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพของประเทศในการรวบรวมและกระจายทรัพยากร เพื่อส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจและยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน อย่างไรก็ตาม หลายประเทศทั่วโลก รวมถึงไทย มักเผชิญกับปัญหาที่เรียกว่างบประมาณขาดดุล

ปัญหานี้ไม่ใช่แค่ตัวเลขบนกระดาษทางการเงินเท่านั้น แต่ยังก่อให้เกิดผลกระทบลึกซึ้งต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจ สังคม และอนาคตของชาติ การเข้าใจถึงความหมายของงบประมาณขาดดุล สาเหตุที่ทำให้เกิดขึ้น และผลที่ตามมา โดยเฉพาะในมุมมองของประเทศไทย จึงเป็นเรื่องสำคัญทั้งสำหรับผู้กำหนดนโยบายและประชาชนทั่วไป

บทความนี้จะชำแหละรายละเอียดเกี่ยวกับงบประมาณขาดดุลอย่างถ่องแท้ วิเคราะห์สาเหตุหลักทั้งในระดับไทยและระดับโลก สำรวจผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อเศรษฐกิจ สังคม และการดำเนินชีวิตประจำวันของคนไทย พร้อมทั้งนำเสนอแนวทางในการจัดการจากภาครัฐ รวมถึงบทบาทของธนาคารแห่งประเทศไทยในการรักษาความสมดุล เพื่อให้ผู้อ่านได้รับมุมมองที่ครบถ้วนและสามารถประเมินสถานการณ์ทางการเงินของประเทศได้อย่างรอบด้าน

งบประมาณขาดดุลคืออะไร? นิยามและหลักการพื้นฐาน
งบประมาณขาดดุล คือ คำศัพท์ทางเศรษฐศาสตร์ที่อธิบายสถานการณ์ทางการเงินของรัฐบาล เมื่อรายรับที่ได้มาน้อยกว่าการใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริงในช่วงเวลาหนึ่ง โดยทั่วไปจะวัดผลเป็นรายปีงบประมาณ
สถานการณ์แบบนี้เกิดขึ้นเมื่อรัฐบาลนำเงินไปใช้ในโครงการหลากหลาย เช่น การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน การให้บริการสาธารณะด้านการศึกษา สุขภาพ และสวัสดิการสังคม ซึ่งรวมกันแล้วมีมูลค่าสูงเกินกว่าที่รัฐบาลรวบรวมได้จากแหล่งต่างๆ เช่น ภาษี ค่าธรรมเนียม หรือกำไรจากรัฐวิสาหกิจ
คำจำกัดความอย่างเป็นทางการและที่มา
ในมุมมองของเศรษฐศาสตร์มหภาค งบประมาณขาดดุลคือ ช่องว่างติดลบระหว่างรายได้รวมของรัฐบาลทั้งหมด เช่น ภาษีและรายได้อื่นๆ กับการใช้จ่ายรวมทั้งหมด เช่น การลงทุนและการโอนเงิน ในรอบปีงบประมาณ
เมื่อเกิดการขาดดุล รัฐบาลจึงต้องหาเงินทุนเพิ่มเติมเพื่อเติมเต็มส่วนที่ขาด โดยส่วนใหญ่มาจากการกู้ยืม ซึ่งนำไปสู่การเพิ่มขึ้นของหนี้สาธารณะ การตัดสินใจเรื่องงบประมาณนี้เป็นส่วนหนึ่งของนโยบายการคลัง ซึ่งเป็นเครื่องมือหลักในการจัดการเศรษฐกิจโดยรวม
กระทรวงการคลังของไทยมีหน้าที่สำคัญในการร่างและดูแลงบประมาณแผ่นดิน โดยพิจารณาจากการคาดการณ์รายรับและรายจ่าย เพื่อนำเสนอต่อรัฐสภาให้อนุมัติผ่านพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี
เปรียบเทียบกับงบประมาณเกินดุลและงบประมาณสมดุล
เพื่อให้เข้าใจงบประมาณขาดดุลได้ชัดเจนยิ่งขึ้น เรามาเปรียบเทียบกับสถานะอื่นๆ ของงบประมาณกัน:
- งบประมาณขาดดุล (Budget Deficit): เกิดเมื่อรายรับน้อยกว่ารายจ่าย ส่งผลให้รัฐบาลต้องกู้เงินมาชดเชย
- งบประมาณเกินดุล (Budget Surplus): เกิดเมื่อรายรับมากกว่ารายจ่าย ทำให้มีเงินเหลือ ซึ่งสามารถนำไปลดหนี้สาธารณะหรือเก็บไว้ใช้ในอนาคต
- งบประมาณสมดุล (Balanced Budget): เกิดเมื่อรายรับเท่ากับรายจ่ายพอดี ซึ่งในทางปฏิบัติหาได้ยาก
แต่ละรูปแบบมีผลต่อเศรษฐกิจและ GDP แตกต่างกันไป การขาดดุลอาจช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้น แต่เสี่ยงต่อปัญหาหนี้สินยาวนาน ในขณะที่การเกินดุลบ่งชี้ถึงความแข็งแกร่งทางการเงิน แต่ถ้ามากเกินอาจดึงเงินออกจากระบบเศรษฐกิจมากเกินควร
สาเหตุหลักที่ทำให้เกิดงบประมาณขาดดุลในประเทศไทยและทั่วโลก
การขาดดุลงบประมาณไม่ได้เกิดขึ้นแบบสุ่มเสี่ยง แต่มาจากปัจจัยภายในและภายนอกที่กระทบต่อรายรับและรายจ่ายของรัฐบาล ทำให้สมดุลทางการเงินคลาดเคลื่อน
การใช้จ่ายภาครัฐที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
สาเหตุสำคัญประการหนึ่งคือการขยายตัวของการใช้จ่ายจากภาครัฐ โดยเฉพาะเมื่อรัฐบาลผลักดันนโยบายที่ต้องการงบประมาณมหาศาล เช่น:
- โครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่: เช่น การก่อสร้างถนน รถไฟ ท่าเรือ และสนามบิน เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขัน อย่างโครงการระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ในไทย
- นโยบายสวัสดิการสังคม: การอุดหนุนเงินช่วยเหลือ เบี้ยยังชีพ หรือโครงการประกันสุขภาพถ้วนหน้า ซึ่งกลายเป็นภาระระยะยาว โดยเฉพาะเมื่อประชากรเข้าสู่สังคมสูงวัย
- ค่าใช้จ่ายด้านความมั่นคงและบริหารราชการ: งบประมาณสำหรับกลาโหม การรักษาความสงบ และการดำเนินงานของหน่วยงานรัฐ
แม้การใช้จ่ายเหล่านี้จะจำเป็นสำหรับการพัฒนาชาติ แต่หากขาดการวางแผนทางการคลังที่รัดกุม ก็อาจนำไปสู่การขาดดุลที่สะสมตัวเรื่อยๆ
รายได้ของรัฐบาลลดลงจากปัจจัยต่างๆ
อีกด้านหนึ่ง รายได้ของรัฐบาลอาจหดตัวจากหลายสาเหตุ ซึ่งกระทบตรงๆ ต่อสมดุลงบประมาณ:
- ภาวะเศรษฐกิจถดถอย: เมื่อเศรษฐกิจชะงักงัน การบริโภคและลงทุนลดลง ส่งผลให้ภาษีต่างๆ เช่น ภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีเงินได้นิติบุคคล และภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ลดลงตาม
- การปรับโครงสร้างภาษี: การลดอัตราภาษีเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ หรือให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีแก่บางกลุ่ม อาจทำให้รายได้รวมลดลงชั่วคราว
- การหลีกเลี่ยงภาษีและการจัดเก็บที่ไม่เต็มประสิทธิภาพ: ปัญหาจากการเก็บภาษีที่ไม่ครอบคลุม หรือการหลีกเลี่ยงของธุรกิจและประชาชนบางส่วน
- รายได้จากทรัพยากรธรรมชาติ: ประเทศที่พึ่งพาการส่งออกสินค้าโภคภัณฑ์ อาจเจอรายได้ตกต่ำเมื่อราคาตลาดโลกผันผวน
ในกรณีของไทย ซึ่งรายได้หลักมาจากภาษีอากร ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจจึงส่งผลรุนแรงต่อรายรับของรัฐ
วิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจและภัยพิบัติที่ไม่คาดคิด
เหตุการณ์ไม่คาดฝัน เช่น วิกฤตเศรษฐกิจหรือภัยธรรมชาติ มักเร่งให้การขาดดุลรุนแรงยิ่งขึ้น:
- วิกฤตการณ์ทางการเงิน: อย่างวิกฤตการเงินโลกปี 2008 หรือวิกฤตต้มยำกุ้งปี 1997 ที่ทำให้เศรษฐกิจหดตัวหนัก รัฐบาลต้องทุ่มงบกู้กู้เพื่อฟื้นฟู ขณะที่รายได้จากภาษีร่วงลง
- โรคระบาด: เช่น การระบาดของ COVID-19 ที่บังคับให้รัฐบาลใช้เงินจำนวนมากในการช่วยเหลือประชาชน ธุรกิจ จัดหาวัคซีน และกระตุ้นเศรษฐกิจ ส่งผลให้หนี้สาธารณะของไทยพุ่งสูง
- ภัยพิบัติทางธรรมชาติ: อย่างน้ำท่วมใหญ่ แผ่นดินไหว หรือภัยแล้ง ที่ต้องใช้งบฟื้นฟูและช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบ
สถานการณ์เหล่านี้มักทำให้เกิดการขาดดุลที่หลีกเลี่ยงยาก เพราะเป็นความฉุกเฉินที่ต้องใช้เงินก้อนใหญ่ในเวลาสั้นๆ
ผลกระทบของงบประมาณขาดดุลต่อเศรษฐกิจและสังคมไทย
การขาดดุลที่ยืดเยื้อและมีขนาดใหญ่ สามารถก่อให้เกิดผลกระทบซับซ้อนและยาวไกลต่อเศรษฐกิจและสังคมไทย
การเพิ่มขึ้นของหนี้สาธารณะและภาระดอกเบี้ย
เมื่องบประมาณขาดดุล รัฐบาลต้องกู้ยืมเพื่อเติมเต็มช่องว่าง สิ่งนี้ทำให้หนี้สาธารณะของประเทศพอกพูน ซึ่งกลายเป็นภาระที่ต้องชำระในอนาคต
ยิ่งหนี้สูง ภาระดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายรายปีก็ยิ่งหนักหน่วง เงินส่วนนี้จะกัดกินงบที่ควรนำไปพัฒนาชาติหรือลงทุนในโครงการเพื่อประชาชน
จากข้อมูลของสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) แสดงให้เห็นแนวโน้มหนี้สาธารณะไทยที่เพิ่มขึ้นในช่วงปีหลังๆ โดยเฉพาะหลังวิกฤตต่างๆ ซึ่งชี้ถึงความท้าทายในการรักษาวินัยการเงิน
ผลกระทบต่ออัตราดอกเบี้ยและเงินเฟ้อในตลาด
การกู้ยืมจำนวนมากจากรัฐบาลเพื่อแก้ขาดดุล อาจเพิ่มความต้องการเงินทุนในตลาด ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยโดยรวมสูงขึ้น
อัตราดอกเบี้ยที่สูงจะกระทบภาคเอกชนและประชาชน โดยทำให้ต้นทุนการกู้ยืมสำหรับลงทุนหรือบริโภคแพงขึ้น สร้างปรากฏการณ์ที่เรียกว่า “Crowding Out Effect” หรือการแย่งทุนจากภาคเอกชน
นอกจากนั้น ถ้าการขาดดุลถูกแก้ด้วยการพิมพ์เงินหรือกู้จากธนาคารกลางมากเกิน ก็อาจกดดันให้เกิดเงินเฟ้อ ส่งผลให้ราคาสินค้าและบริการสูงขึ้น ลดพลังซื้อของประชาชน
ผลกระทบต่อค่าเงินบาทและการลงทุนต่างชาติ
การขาดดุลต่อเนื่องที่ควบคุมไม่ได้ อาจสั่นคลอนความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติ ซึ่งมองว่าไทยมีความเสี่ยงทางการเงินสูง นำไปสู่การไหลออกของทุน
เมื่อทุนไหลออก ค่าเงินบาทจะอ่อนตัวลง ซึ่งแม้ช่วยส่งเสริมการส่งออก แต่ก็เพิ่มต้นทุนนำเข้าและภาระหนี้ต่างประเทศ
ความไม่แน่นอนทางการเงินยังลด吸引力สำหรับการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ซึ่งเป็นตัวขับเคลื่อนการสร้างงานและถ่ายทอดเทคโนโลยีสู่ไทย
ภาระต่อคนรุ่นหลังและการพัฒนาประเทศในระยะยาว
การสะสมขาดดุลเป็นหนี้ก้อนใหญ่ หมายถึงการโยนภาระให้คนรุ่นถัดไป
คนรุ่นหลังจะต้องรับผิดชอบชำระหนี้และดอกเบี้ย ซึ่งอาจจำกัดงบประมาณอนาคตสำหรับการลงทุนสำคัญ เช่น การศึกษา สุขภาพ การวิจัย หรือนวัตกรรม ที่เป็นฐานรากของการพัฒนายั่งยืน
ดังนั้น การจัดการงบประมาณขาดดุลอย่างรอบคอบจึงเป็นกุญแจสำคัญต่อความยั่งยืนทางการเงินและอนาคตของไทย
งบประมาณขาดดุลกับการบริหารจัดการ: แนวทางของภาครัฐไทย
เมื่อเจอกับงบประมาณขาดดุล รัฐบาลไทยและหน่วยงานเกี่ยวข้องมีกลยุทธ์หลากหลายเพื่อรักษาวินัยการเงินและความมั่นคงทางเศรษฐกิจ
มาตรการลดการใช้จ่ายและเพิ่มประสิทธิภาพ
แนวทางพื้นฐานคือการควบคุมและตัดลดการใช้จ่ายภาครัฐ โดยเน้นเพิ่มประสิทธิภาพ:
- การทบทวนและปรับลดโครงการที่ไม่จำเป็น: พิจารณายกเลิกหรือเลื่อนโครงการที่ไม่ด่วนหรือผลตอบแทนต่ำ
- การเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการ: ปรับปรุงกระบวนการทำงานให้โปร่งใส ลดความซ้ำซ้อน และประหยัด
- การลดค่าใช้จ่ายประจำ: เช่น ควบคุมการจัดซื้อ การเดินทาง หรือการใช้พลังงานของหน่วยงานรัฐ
การดำเนินการต้องอาศัยความมุ่งมั่นทางการเมืองและแผนที่รอบคอบ เพื่อไม่กระทบบริการสาธารณะที่จำเป็น
การเพิ่มรายได้ของรัฐบาลอย่างยั่งยืน
นอกจากตัดรายจ่าย การเพิ่มรายได้ก็เป็นกลไกหลักในการแก้ปัญหา:
- การปฏิรูปโครงสร้างภาษี: ทบทวนอัตรา ฐาน และประเภทภาษีให้เหมาะสมและเป็นธรรม เพื่อขยายฐานและเพิ่มประสิทธิภาพการเก็บ
- การเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บภาษี: ใช้เทคโนโลยีช่วยป้องกันการหลีกเลี่ยง และส่งเสริมการปฏิบัติตามกฎ
- การส่งเสริมการลงทุนและเศรษฐกิจ: กระตุ้นการเติบโตยั่งยืน เพื่อเพิ่มรายได้เอกชนและการจ้างงาน ซึ่งนำไปสู่ภาษีที่มากขึ้นโดยธรรมชาติ
- การเพิ่มประสิทธิภาพรัฐวิสาหกิจ: สนับสนุนให้มีกำไรและนำส่งรายได้เพิ่ม
การเพิ่มรายได้ต้องทำอย่างระมัดระวัง เพื่อไม่เป็นภาระหนักแก่ธุรกิจและประชาชน
การกู้ยืมเงินและการบริหารจัดการหนี้สาธารณะ
หากการตัดรายจ่ายและเพิ่มรายได้ไม่พอ รัฐบาลต้องพึ่งการกู้ยืมอย่างมียุทธศาสตร์:
- การกู้ยืมจากแหล่งที่หลากหลาย: ทั้งในประเทศ เช่น ออกพันธบัตร และต่างประเทศ เช่น จากสถาบันการเงินนานาชาติ เพื่อกระจายความเสี่ยงและเลือกต้นทุนต่ำ
- การบริหารจัดการหนี้สาธารณะ: ปรับโครงสร้างหนี้ ยืดเวลาชำระ และรักษาสัดส่วนหนี้ต่างประเทศให้เหมาะสม เพื่อลดดอกเบี้ยและเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน
- กฎหมายการคลัง และวินัยการเงินที่เข้มงวด เช่น พระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 ช่วยกำกับให้หนี้สาธารณะต่อ GDP และภาระอื่นๆ อยู่ในระดับยั่งยืน
บทบาทของธนาคารแห่งประเทศไทยในการดูแลเสถียรภาพการเงิน
แม้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะเป็นหน่วยงานอิสระที่ดูแลนโยบายการเงิน แต่ก็มีส่วนสำคัญในการรักษาเสถียรภาพการเงินโดยรวม ซึ่งเชื่อมโยงกับงบประมาณขาดดุล
เมื่อรัฐกู้ยืมมาก ธปท. ต้องติดตามผลต่อสภาพคล่อง อัตราดอกเบี้ย และเงินเฟ้อ
ธปท. ใช้เครื่องมือนโยบายการเงิน เช่น ปรับอัตราดอกเบี้ยหรือปฏิบัติการในตลาดเปิด เพื่อรักษาสมดุลระหว่างการกระตุ้นเศรษฐกิจและควบคุมเงินเฟ้อ ไม่ให้ขาดดุลคลังกระทบเศรษฐกิจมหภาคมากเกิน
การประสานระหว่างนโยบายการคลังของรัฐและนโยบายการเงินของ ธปท. จึงจำเป็นมากในช่วงที่ไทยเผชิญงบประมาณขาดดุล
สรุป: ความเข้าใจงบประมาณขาดดุลเพื่อการตัดสินใจที่ดีขึ้น
งบประมาณขาดดุลคือสถานการณ์ที่รายรับรัฐบาลน้อยกว่ารายจ่าย ซึ่งพบได้ในหลายประเทศรวมถึงไทย จากสาเหตุหลากหลาย เช่น การใช้จ่ายภาครัฐที่พุ่งสูง รายได้ที่ลดจากเศรษฐกิจซบเซา หรือวิกฤตไม่คาดฝัน
ผลกระทบจากปัญหานี้กว้างขวาง ตั้งแต่หนี้สาธารณะที่เพิ่ม ภาระดอกเบี้ยหนัก อัตราดอกเบี้ยและเงินเฟ้อที่สูงขึ้น ไปจนถึงค่าเงินบาทที่อ่อน การลงทุนต่างชาติที่ลด และภาระให้คนรุ่นหลังในการพัฒนาระยะยาว
รัฐบาลไทยจัดการผ่านการลดใช้จ่าย เพิ่มประสิทธิภาพรายได้ และบริหารหนี้อย่างระมัดระวัง โดยมีธนาคารแห่งประเทศไทยช่วยดูแลเสถียรภาพการเงิน
สำหรับประชาชน การเข้าใจงบประมาณของชาติเป็นเรื่องสำคัญ การตระหนักถึงความท้าทายและผลกระทบ จะช่วยให้เรามีส่วนร่วมในการแสดงความเห็น ตรวจสอบ และสนับสนุนนโยบายสาธารณะที่ส่งเสริมความยั่งยืนทางการเงินและพัฒนาประเทศอย่างสมดุลในระยะยาว
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับงบประมาณขาดดุล (FAQ)
งบประมาณขาดดุล หมายถึงอะไรในบริบทของเศรษฐกิจไทยปัจจุบัน?
ในบริบทของเศรษฐกิจไทยปัจจุบัน งบประมาณขาดดุลหมายถึงสถานะที่รัฐบาลมีการใช้จ่ายเงินมากกว่ารายได้ที่จัดเก็บได้ในแต่ละปีงบประมาณ ซึ่งนำไปสู่ความจำเป็นในการกู้ยืมเงินเพื่อชดเชยส่วนที่ขาด ทำให้หนี้สาธารณะของประเทศเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่ผ่านมา รัฐบาลไทยต้องใช้งบประมาณจำนวนมากเพื่อรับมือกับผลกระทบจากโควิด-19 และการฟื้นฟูเศรษฐกิจ
งบประมาณขาดดุล มีผลกระทบโดยตรงต่อชีวิตประจำวันของคนไทยอย่างไรบ้าง?
งบประมาณขาดดุลอาจส่งผลกระทบโดยตรงต่อชีวิตประจำวันของคนไทยได้หลายทาง เช่น:
- ภาระภาษีในอนาคต: รัฐบาลอาจต้องเพิ่มการจัดเก็บภาษี หรือลดสวัสดิการในอนาคตเพื่อชดเชยหนี้ที่เกิดขึ้น
- อัตราดอกเบี้ย: หากรัฐบาลกู้ยืมมาก อาจทำให้อัตราดอกเบี้ยในตลาดสูงขึ้น ซึ่งกระทบต่อการกู้ซื้อบ้าน รถยนต์ หรือการลงทุนของภาคธุรกิจ
- เงินเฟ้อ: หากการขาดดุลนำไปสู่การพิมพ์เงินหรือกระตุ้นเศรษฐกิจมากเกินไป อาจทำให้ราคาสินค้าสูงขึ้น กระทบต่อค่าครองชีพ
- คุณภาพบริการสาธารณะ: หากงบประมาณถูกใช้ไปกับการชำระหนี้มาก อาจลดทอนงบประมาณในการพัฒนาการศึกษา สาธารณสุข หรือโครงสร้างพื้นฐาน
รัฐบาลไทยมีแนวทางในการจัดการกับงบประมาณขาดดุลอย่างไร? มีมาตรการอะไรบ้าง?
รัฐบาลไทยมีแนวทางในการจัดการกับงบประมาณขาดดุลที่หลากหลาย ดังนี้:
- ลดการใช้จ่ายภาครัฐ: ทบทวนโครงการที่ไม่จำเป็น เพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการ
- เพิ่มรายได้ของรัฐบาล: ปฏิรูปโครงสร้างภาษี เพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บภาษี และส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจ
- การกู้ยืมเงินอย่างมีกลยุทธ์: กู้ยืมจากแหล่งที่เหมาะสม บริหารจัดการหนี้สาธารณะให้มีโครงสร้างที่ดี และปฏิบัติตามกรอบวินัยการเงินการคลัง
ความแตกต่างระหว่าง “งบประมาณขาดดุล” และ “หนี้สาธารณะ” คืออะไร?
แม้จะเกี่ยวข้องกัน แต่มีความแตกต่างดังนี้:
- งบประมาณขาดดุล: คือ ส่วนต่างที่รายรับของรัฐบาลน้อยกว่ารายจ่าย ในหนึ่งปีงบประมาณ เป็นค่าที่เกิดขึ้นในแต่ละช่วงเวลา
- หนี้สาธารณะ: คือ ยอดรวมสะสม ของเงินที่รัฐบาลกู้ยืมมาทั้งหมดในอดีตและยังไม่ได้ชำระคืน ซึ่งรวมถึงเงินที่กู้มาเพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณในแต่ละปี
กล่าวคือ งบประมาณขาดดุลเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้หนี้สาธารณะเพิ่มขึ้น
งบประมาณเกินดุล หมายถึงอะไร และดีกว่างบประมาณขาดดุลเสมอไปหรือไม่?
งบประมาณเกินดุลหมายถึงสถานะที่รัฐบาลมีรายรับมากกว่ารายจ่าย ซึ่งทำให้รัฐบาลมีเงินเหลือใช้ อาจนำไปชำระหนี้ หรือสะสมไว้ใช้ในอนาคต
โดยทั่วไปแล้ว งบประมาณเกินดุลถือเป็นสัญญาณของความแข็งแกร่งทางการคลังที่ดีกว่างบประมาณขาดดุล อย่างไรก็ตาม การเกินดุลมากเกินไปก็ไม่ได้ดีเสมอไป หากหมายถึงการที่รัฐบาลเก็บภาษีจากประชาชนมากเกินความจำเป็น หรือไม่ยอมใช้จ่ายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงที่จำเป็น อาจทำให้เศรษฐกิจชะลอตัวได้
การที่ประเทศไทยมีงบประมาณขาดดุลติดต่อกันหลายปีเป็นสัญญาณอันตรายหรือไม่?
การขาดดุลงบประมาณติดต่อกันหลายปีอาจเป็นสัญญาณเตือนได้ หาก:
- ขนาดของการขาดดุลมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง: แสดงว่ารัฐบาลไม่สามารถควบคุมรายจ่ายหรือเพิ่มรายได้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- หนี้สาธารณะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและสูงเกินเพดาน: เกินความสามารถในการบริหารจัดการหรือชำระคืน
- ภาระดอกเบี้ยสูงจนกระทบต่องบประมาณพัฒนาประเทศ: ทำให้เหลือเงินลงทุนในด้านอื่นๆ น้อยลง
อย่างไรก็ตาม การขาดดุลในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจ หรือเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้นอาจเป็นสิ่งที่จำเป็นและยอมรับได้ หากมีการบริหารจัดการที่ดีและมีแผนกลับสู่สมดุลในระยะยาว
ในฐานะประชาชน เราจะติดตามสถานการณ์งบประมาณของประเทศได้อย่างไร?
ประชาชนสามารถติดตามสถานการณ์งบประมาณของประเทศได้จากแหล่งข้อมูลทางการที่น่าเชื่อถือ เช่น:
- เว็บไซต์กระทรวงการคลัง (Ministry of Finance – MOF): มีข้อมูลเกี่ยวกับงบประมาณแผ่นดิน รายได้ รายจ่าย และหนี้สาธารณะ
- เว็บไซต์สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (Public Debt Management Office – PDMO): มีรายละเอียดเกี่ยวกับโครงสร้างและสถานะหนี้สาธารณะ
- เว็บไซต์ธนาคารแห่งประเทศไทย (Bank of Thailand – BOT): มีรายงานเศรษฐกิจและนโยบายการเงินที่เกี่ยวข้อง
- สื่อข่าวเศรษฐกิจและบทวิเคราะห์จากสถาบันวิจัย: ที่นำเสนอข้อมูลและวิเคราะห์สถานการณ์ทางการคลัง
ธนาคารแห่งประเทศไทยมีบทบาทอย่างไรในการดูแลเสถียรภาพทางการเงินเมื่อเกิดงบประมาณขาดดุล?
ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) มีบทบาทสำคัญในการดูแลเสถียรภาพทางการเงิน แม้จะไม่ได้บริหารงบประมาณโดยตรง แต่จะพิจารณาผลกระทบจากการขาดดุลงบประมาณของรัฐบาลต่อเศรษฐกิจโดยรวม
ธปท. จะใช้เครื่องมือ นโยบายการเงิน เช่น การปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบาย เพื่อควบคุมเงินเฟ้อ ดูแลสภาพคล่องในตลาด และรักษาสมดุลของอัตราแลกเปลี่ยน เพื่อไม่ให้การขาดดุลทางการคลังส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพเศรษฐกิจมหภาคมากเกินไป และยังคงรักษาความเชื่อมั่นของนักลงทุน
งบประมาณขาดดุลส่งผลต่อการลงทุนและการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศไทยในระยะยาวอย่างไร?
งบประมาณขาดดุลที่ยั่งยืนสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจได้ในระยะสั้นผ่านการใช้จ่ายภาครัฐ แต่หากขาดดุลต่อเนื่องและมีขนาดใหญ่ อาจส่งผลเสียต่อการลงทุนและการเติบโตในระยะยาว:
- หนี้สาธารณะสูง: จำกัดความสามารถของรัฐบาลในการลงทุนในอนาคต
- อัตราดอกเบี้ยสูง: ทำให้ต้นทุนการกู้ยืมของภาคเอกชนเพิ่มขึ้น ลดแรงจูงใจในการลงทุน
- ความเชื่อมั่นนักลงทุนลดลง: ทำให้นักลงทุนต่างชาติลังเลที่จะลงทุนในประเทศไทย
- ภาระต่อคนรุ่นหลัง: งบประมาณที่ต้องใช้ไปกับการชำระหนี้ อาจลดเงินลงทุนในด้านการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์และนวัตกรรม
มีตัวอย่างงบประมาณขาดดุลที่สำคัญในประวัติศาสตร์ไทยหรือไม่ และผลเป็นอย่างไร?
มีหลายช่วงเวลาที่ประเทศไทยประสบภาวะงบประมาณขาดดุลครั้งสำคัญ ตัวอย่างที่ชัดเจนคือ:
- วิกฤตการณ์การเงินเอเชีย (ต้มยำกุ้ง) ปี 2540: รัฐบาลต้องใช้งบประมาณมหาศาลเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและช่วยเหลือสถาบันการเงิน ทำให้เกิดการขาดดุลและหนี้สาธารณะเพิ่มขึ้นอย่างมาก
- วิกฤตการณ์โควิด-19 ปี 2563-2565: รัฐบาลต้องออก พ.ร.ก. กู้เงิน เพื่อเยียวยาประชาชน ภาคธุรกิจ และจัดหาวัคซีน ส่งผลให้งบประมาณขาดดุลต่อเนื่องและหนี้สาธารณะพุ่งสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ แต่ก็ช่วยประคับประคองเศรษฐกิจและสังคมในช่วงวิกฤตได้
ผลที่ตามมาคือการเพิ่มขึ้นของหนี้สาธารณะ แต่ก็เป็นมาตรการที่จำเป็นเพื่อรักษาเสถียรภาพและฟื้นฟูเศรษฐกิจในสถานการณ์วิกฤต