ตราสารอนุพันธ์ คืออะไร? 4 ประเภทหลักที่นักลงทุนไทยควรรู้ก่อนเริ่มเทรด

บทนำ: ทำความรู้จัก “ตราสารอนุพันธ์” การลงทุนแห่งอนาคต

ในยุคการเงินที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็วและเต็มไปด้วยโอกาสใหม่ๆ ตราสารอนุพันธ์กลายเป็นเครื่องมือที่ขาดไม่ได้สำหรับนักลงทุนที่ต้องการความยืดหยุ่นและทางเลือกมากขึ้น แตกต่างจากวิธีลงทุนแบบเก่าๆ อย่างหุ้นหรือพันธบัตร ซึ่งมูลค่ามาจากตัวสินทรัพย์เองโดยตรง ตราสารอนุพันธ์มีมูลค่าที่เชื่อมโยงกับสินทรัพย์อื่น เช่น หุ้น ดัชนีสินค้าโภคภัณฑ์ อัตราแลกเปลี่ยน หรืออัตราดอกเบี้ย ทำให้มันเหมาะสำหรับการจัดการความเสี่ยง การคาดการณ์กำไร และการใช้เงินทุนให้เกิดประโยชน์สูงสุดในตลาดที่ซับซ้อน นักลงทุนชาวไทยที่อยากก้าวสู่เวทีนี้ควรเริ่มจากการทำความเข้าใจพื้นฐาน วิธีการทำงาน และความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น เพื่อให้พร้อมรับมือกับศักยภาพที่ซ่อนอยู่

ภาพประกอบตลาดการเงินที่พลวัตกับตราสารอนุพันธ์เป็นเครื่องมือการลงทุนที่ยืดหยุ่นสำหรับอนาคต

ตราสารอนุพันธ์ คืออะไร? นิยามและหลักการเบื้องต้น

ตราสารอนุพันธ์หมายถึงสัญญาทางการเงินที่มูลค่าของมันขึ้นอยู่กับสินทรัพย์อ้างอิงในอนาคต โดยผู้ซื้อและผู้ขายตกลงกันว่าจะทำธุรกรรมกับสินทรัพย์นั้นในราคาและเวลาที่กำหนดไว้ล่วงหน้า สัญญาเหล่านี้ไม่ใช่การซื้อขายสินทรัพย์จริงทันที แต่เป็นการกำหนดสิทธิหรือหน้าที่สำหรับอนาคต ซึ่งช่วยให้นักลงทุนวางแผนได้โดยไม่ต้องทุ่มเงินก้อนใหญ่เหมือนซื้อสินทรัพย์โดยตรง

หลักการพื้นฐานคือการสร้างสัญญาที่ผูกมัดหรือให้สิทธิ์บางอย่าง โดยมูลค่าจะปรับตัวตามการเคลื่อนไหวของสินทรัพย์อ้างอิง ถ้าทิศทางตรงกับที่คาดไว้ ก็จะได้กำไร แต่ถ้าผิดพลาดก็อาจขาดทุนได้ง่ายๆ ด้วยเหตุนี้ ตราสารอนุพันธ์จึงช่วยขยายตัวเลือกในการจัดการพอร์ตลงทุน ไม่ว่าจะเป็นการป้องกันความผันผวน การหาโอกาสทำกำไรจากแนวโน้มตลาด หรือการใช้หลักการ leverage เพื่อเพิ่มพลังการลงทุน ก่อนลงมือจริง นักลงทุนควรศึกษากลไกและประเภทต่างๆ ให้ละเอียด เพื่อหลีกเลี่ยงความเข้าใจผิด

ภาพประกอบสัญญาการเงินที่แสดงมูลค่าในอนาคตจากสินทรัพย์อ้างอิงเช่นหุ้นหรือทองคำ

ประเภทของตราสารอนุพันธ์: เครื่องมือหลากหลายสำหรับนักลงทุน

ตราสารอนุพันธ์มีรูปแบบที่แตกต่างกันไปตามวัตถุประสงค์และลักษณะเฉพาะ ซึ่งการรู้จักแต่ละประเภทจะช่วยให้นักลงทุนเลือกใช้ได้ตรงกับแผนการของตัวเองมากขึ้น

ภาพประกอบประเภทต่างๆของตราสารอนุพันธ์ เช่นฟิวเจอร์ส ออปชั่น ฟอร์เวิร์ด สวอป ในฐานะเครื่องมือการเงินที่หลากหลาย

สัญญาซื้อขายล่วงหน้า (Futures): การทำข้อตกลงซื้อขายในอนาคต

สัญญาซื้อขายล่วงหน้าหรือฟิวเจอร์สคือข้อตกลงมาตรฐานที่กำหนดให้ผู้ซื้อและผู้ขายต้องทำธุรกรรมกับสินทรัพย์อ้างอิงในราคาและเวลาที่ตกลงกันไว้ล่วงหน้า สัญญาเหล่านี้ซื้อขายผ่านตลาดจัดตั้งอย่างเป็นทางการ เช่น ตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้าแห่งประเทศไทย (TFEX) ซึ่งช่วยสร้างความโปร่งใสและลดโอกาสผิดนัดได้ดี ลักษณะเด่นคือการเป็นมาตรฐานที่ทำให้ซื้อขายและส่งมอบง่าย รวมถึงระบบหลักประกันที่คอยรับประกันการปฏิบัติตามสัญญา ในตลาดไทย ตัวอย่างที่ฮิตคือ SET50 Futures ซึ่งอ้างอิงดัชนี SET50 และ Gold Futures ที่ติดตามราคาทองคำ

สัญญาออปชั่น (Options): สิทธิแต่ไม่ผูกมัด

สัญญาออปชั่นคือเครื่องมือที่มอบสิทธิ์ให้ผู้ถือในการซื้อหรือขายสินทรัพย์อ้างอิงที่ราคาใช้สิทธิกำหนด ภายในเวลาที่ตั้งไว้ โดยไม่บังคับให้ต้องทำ ผู้ซื้อต้องจ่ายค่าพรีเมียมเพื่อแลกกับสิทธิ์นี้ และมีสองแบบหลักคือ

  • Call Option (ออปชั่นซื้อ): สิทธิ์ในการซื้อสินทรัพย์ที่ราคาใช้สิทธิ
  • Put Option (ออปชั่นขาย): สิทธิ์ในการขายสินทรัพย์ที่ราคาใช้สิทธิ

ออปชั่นได้รับความนิยมเพราะช่วยจัดการความเสี่ยงและเก็งกำไร โดยจำกัดความเสียหายของผู้ซื้อไว้แค่ค่าพรีเมียมที่จ่ายไปเท่านั้น

สัญญาฟอร์เวิร์ด (Forwards): ข้อตกลงเฉพาะตัว

สัญญาฟอร์เวิร์ดคล้ายฟิวเจอร์สตรงที่เป็นการตกลงซื้อขายสินทรัพย์ในอนาคตที่ราคาและเวลาที่กำหนด แต่ต่างกันตรงที่ไม่เป็นมาตรฐานและมักทำแบบเฉพาะเจาะจงระหว่างคู่สัญญา (OTC) ทำให้ปรับเงื่อนไขได้ยืดหยุ่นตามความต้องการ แต่ก็เพิ่มความเสี่ยงจากคู่สัญญาเพราะไม่มีตลาดกลางหรือหน่วยรับประกัน สัญญาแบบนี้เหมาะสำหรับธุรกิจที่ต้องการจัดการความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนหรือดอกเบี้ย

สัญญาแลกเปลี่ยน (Swaps): การแลกเปลี่ยนกระแสเงินสด

สัญญาแลกเปลี่ยนหรือสวอปคือข้อตกลงที่สองฝ่ายแลกเปลี่ยนกระแสเงินสดหรือภาระทางการเงินในอนาคตตามเงื่อนไขที่กำหนด โดยมักแลกเปลี่ยนเงินต้นแค่ตอนเริ่มและจบสัญญา ตัวอย่างที่พบบ่อยคือสัญญาแลกเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ยที่แลกดอกเบี้ยคงที่กับลอยตัว หรือสัญญาแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศที่แลกเงินต้นและดอกเบี้ยต่างสกุล สถาบันการเงินและบริษัทใหญ่ๆ ชอบใช้เพื่อควบคุมความเสี่ยงจากดอกเบี้ยหรืออัตราแลกเปลี่ยน

ทำไมต้องลงทุนในตราสารอนุพันธ์? ประโยชน์และข้อดี

การเลือกตราสารอนุพันธ์มาลงทุนมีข้อดีหลายอย่างที่แตกต่างจากสินทรัพย์ตรงๆ ทำให้มันดึงดูดนักลงทุนที่ต้องการกลยุทธ์ขั้นสูง

การป้องกันความเสี่ยง (Hedging): ลดความผันผวนของพอร์ต

ประโยชน์หลักคือการ hedging ที่ช่วยลดผลกระทบจากความผันผวนในสินทรัพย์ที่ถืออยู่หรือปัจจัยภายนอก เช่น อัตราแลกเปลี่ยน สมมติว่านักลงทุนมีหุ้นเยอะและกลัวราคาตกชั่วคราว ก็สามารถขาย SET50 Futures เพื่อชดเชยความเสียหาย ทำให้พอร์ตโดยรวมคงมูลค่าได้ดีขึ้น

การเก็งกำไร (Speculation): โอกาสทำกำไรจากทิศทางตลาด

สำหรับการเก็งกำไร ตราสารอนุพันธ์ให้โอกาสทำกำไรจากแนวโน้มตลาดทั้งขึ้นและลง ถ้าคาดว่าราคาทองจะขึ้น ก็ซื้อ Gold Futures เพื่อรับผลประโยชน์ ถ้าถูกต้องก็กำไร แต่ถ้าผิดก็ขาดทุนได้ การเก็งกำไรแบบนี้มีความเสี่ยงสูงแต่โอกาสรางวัลก็มากตามไปด้วย

การใช้ประโยชน์จากเงินทุน (Leverage): เพิ่มอำนาจการลงทุน

Leverage คือจุดเด่นที่ช่วยให้ควบคุมสินทรัพย์มูลค่าสูงด้วยเงินเริ่มต้นน้อยหรือหลักประกัน ทำให้กำไรและขาดทุนขยายตัว ถ้าตลาดไปถูกทาง กำไรจะพุ่งสูง แต่ถ้าผิด ผลเสียก็รุนแรง นักลงทุนต้องระวังและวางแผนให้ดี

การเพิ่มความหลากหลายในพอร์ต (Diversification): กระจายความเสี่ยง

การนำตราสารอนุพันธ์มาผสมในพอร์ตช่วยกระจายความเสี่ยงเพราะพฤติกรรมราคาอาจต่างจากหุ้นหรือพันธบัตร ถ้าสินทรัพย์หนึ่งตก อีกตัวอาจขึ้นชดเชย ทำให้ผลตอบแทนโดยรวมเสถียรยิ่งขึ้น

ความเสี่ยงของตราสารอนุพันธ์: สิ่งที่นักลงทุนไทยต้องตระหนัก

ถึงแม้จะมีประโยชน์ แต่ตราสารอนุพันธ์มีความเสี่ยงสูงกว่าระดับปกติ นักลงทุนไทยควรรู้ให้ชัดเพื่อไม่ให้พลาดท่า

ความเสี่ยงจากเลเวอเรจ (Leverage Risk): กำไรสูง ขาดทุนก็สูง

Leverage เปรียบเสมือนดาบสองคมที่ขยายทั้งกำไรและขาดทุน ถ้าตลาดพลิกผันนิดเดียว อาจเสียมากกว่าหลักประกันทั้งหมด ต้องมีวินัยเรื่องเงินทุนและใช้ stop loss อย่างเคร่งครัดเพื่อจำกัดความเสียหาย

ความเสี่ยงด้านตลาด (Market Risk): ความผันผวนของราคา

มูลค่าขึ้นกับสินทรัพย์อ้างอิงที่ผันผวนจากเศรษฐกิจ การเมือง หรือข่าวร้าย ทำให้คาดเดายากและเพิ่มความไม่แน่นอนในการลงทุน

ความเสี่ยงด้านสภาพคล่อง (Liquidity Risk): การซื้อขายอาจไม่ง่ายเสมอไป

บางสัญญาหรือซีรีส์อาจซื้อขายยาก หากสภาพคล่องต่ำ อาจปิดสถานะไม่ได้ในราคาที่ต้องการ โดยเฉพาะใกล้หมดอายุหรือปริมาณน้อย ซึ่งอาจนำไปสู่ความเสียหายถ้าต้องรีบ

ความเสี่ยงด้านกฎระเบียบ (Regulatory Risk): กฎหมายที่เปลี่ยนแปลง

กฎเกณฑ์อาจเปลี่ยน เช่น จาก SEC ที่ปรับเรื่องหลักประกันหรือข้อจำกัด นักลงทุนต้องติดตามใกล้ชิดเพื่อปรับตัวทัน

ความเสี่ยงจากการผิดนัดชำระ (Counterparty Risk): คู่สัญญาไม่ทำตามข้อตกลง

เสี่ยงสูงในสัญญา OTC อย่างฟอร์เวิร์ดหรือสวอป ถ้าคู่สัญญาล้มเหลว แต่ใน TFEX สำหรับฟิวเจอร์สและออปชั่น เสี่ยงต่ำเพราะมี Clearing House รับประกัน

ตลาดตราสารอนุพันธ์ในประเทศไทย: โอกาสสำหรับนักลงทุนไทย

ตลาดตราสารอนุพันธ์ไทยพัฒนาอย่างก้าวกระโดด เปิดโอกาสให้นักลงทุนจัดการความเสี่ยงและหาผลตอบแทนได้ดีขึ้น

บทบาทของ TFEX และ SET

TFEX คือตลาดหลักภายใต้ SET และ ก.ล.ต. ที่จัดการซื้อขายฟิวเจอร์สและออปชั่น กำหนดกฎ กลไก และมี TCH รับประกันชำระหนี้ ทำให้โปร่งใสและปลอดภัย การร่วมมือระหว่าง TFEX กับ SET ช่วยให้นักลงทุนเข้าถึงผลิตภัณฑ์หลากหลายอย่างมั่นใจ

ผลิตภัณฑ์ตราสารอนุพันธ์ยอดนิยมสำหรับคนไทย

ใน TFEX มีสินค้าฮิตหลายตัว เช่น

  • SET50 Index Futures: อ้างอิงดัชนีหุ้นใหญ่ 50 ตัว ใช้เก็งกำไรหรือป้องกันพอร์ตหุ้น
  • Gold Futures: ติดตามราคาทองโลก สำหรับเก็งกำไรหรือ hedging ราคาทอง
  • Single Stock Futures: อ้างอิงหุ้นเดี่ยว สำหรับเก็งกำไรหุ้นที่คาดว่าราคาจะเคลื่อนไหวชัด
  • Currency Futures: เช่น USD Futures สำหรับจัดการความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน

สินค้าเหล่านี้ขยายตัวเลือกให้หลากหลายยิ่งขึ้น

เริ่มต้นลงทุนตราสารอนุพันธ์ในไทย: ขั้นตอนและข้อควรพิจารณา

นักลงทุนไทยที่สนใจควรเตรียมตัวให้พร้อมด้วยขั้นตอนและความรู้ที่ถูกต้อง

เลือกโบรกเกอร์ที่เหมาะสมในประเทศไทย

เริ่มด้วยการหาบริษัทหลักทรัพย์ที่ ก.ล.ต. รับรอง มีชื่อเสียงดีและบริการตรงใจ พิจารณาจาก

  • ค่าธรรมเนียม: เปรียบเทียบคอมมิชชั่นและค่าใช้จ่าย
  • แพลตฟอร์มการซื้อขาย: เสถียร ใช้งานสะดวก ฟีเจอร์ครบ
  • บริการและบทวิเคราะห์: มีข้อมูล ข่าว และคำปรึกษาจาก专家
  • การสนับสนุนลูกค้า: ช่องทางติดต่อรวดเร็ว

ตัวอย่างเช่น บล.กสิกรไทย บล.บัวหลวง หรือ บล.หลักทรัพย์เอเชียพลัส

การเปิดบัญชีและวางหลักประกัน

หลังเลือกโบรกเกอร์ เปิดบัญชีเฉพาะสำหรับอนุพันธ์ ใช้เอกสารอย่างบัตรประชาชน ทะเบียนบ้าน สมุดบัญชี และหลักฐานรายได้ จากนั้นวางหลักประกันตามที่ TFEX กำหนด ต้องเข้าใจ margin call เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหา

การศึกษาและฝึกฝน

อย่ารีบลงทุนจริง เริ่มจาก

  • ศึกษาข้อมูล: รู้จักประเภท กลไก ประโยชน์ เสี่ยง
  • เข้าร่วมอบรม: ใช้ TFEX Academy (tfex.co.th/th/tfex-academy) สำหรับคอร์สออนไลน์
  • ทดลองซื้อขายในระบบจำลอง: ใช้ paper trading จากโบรกเกอร์เพื่อฝึกกลยุทธ์โดยไม่เสี่ยงเงินจริง

การฝึกสม่ำเสมอจะเพิ่มความมั่นใจและลดข้อผิดพลาด

ข้อควรระวังและคำแนะนำสำหรับนักลงทุนตราสารอนุพันธ์

การลงทุนแบบนี้ต้องอาศัยความรู้และการควบคุมความเสี่ยงที่ดี เพื่อความสำเร็จระยะยาว

  • เรียนรู้และติดตามข่าวสารอยู่เสมอ: อัปเดตเศรษฐกิจ การเมือง ที่กระทบสินทรัพย์อ้างอิง
  • สร้างแผนการลงทุนและบริหารความเสี่ยงอย่างเคร่งครัด: กำหนดเป้า กลยุทธ์ stop loss และ take profit แล้วยึดมั่น
  • อย่าเชื่อข่าวลือหรือ “วงใน”: หลีกเลี่ยงการตัดสินใจจากข้อมูลไม่น่าเชื่อถือ เพราะตลาดเคลื่อนไหวเร็ว
  • ทำความเข้าใจจิตวิทยาการลงทุน: หลีกเลี่ยง FOMO หรือถือขาดทุนนาน ควบคุมอารมณ์ให้ยึดแผน
  • พิจารณาความเหมาะสมกับตนเอง: เหมาะกับคนที่รับความเสี่ยงสูงและมีประสบการณ์ ประเมินตัวเองก่อน

สรุป: ตราสารอนุพันธ์ เครื่องมือที่ต้องเข้าใจก่อนใช้

ตราสารอนุพันธ์คือเครื่องมือซับซ้อนแต่มีพลัง ใช้ได้ตั้งแต่ hedging เก็งกำไร ไปจนถึงเพิ่มประสิทธิภาพเงินทุน แต่ศักยภาพสูงมาพร้อมความเสี่ยงจาก leverage และความผันผวน สำหรับนักลงทุนไทย การรู้จักนิยาม ประเภท กลไก ประโยชน์ เสี่ยง และตลาดผ่าน TFEX กับ SEC คือก้าวแรกที่สำคัญ เริ่มด้วยการเรียนรู้ ฝึกฝน และวางแผน risk management จะช่วยให้ใช้เครื่องมือนี้ได้อย่างชาญฉลาดและยั่งยืน

ตราสารอนุพันธ์ เหมาะกับนักลงทุนประเภทใดในประเทศไทย?

ตราสารอนุพันธ์เหมาะสำหรับนักลงทุนที่มีความรู้พื้นฐานตลาดการเงินดี รับความเสี่ยงสูงได้ มีเวลาติดตามตลาดใกล้ชิด และมีวินัยสูง โดยเฉพาะคนที่อยากใช้มันจัดการความเสี่ยงในพอร์ตที่มีอยู่แล้ว

ตราสารอนุพันธ์ มีกี่ประเภท แต่ละประเภทแตกต่างกันอย่างไร?

ประเภทหลักๆ ได้แก่ สัญญาซื้อขายล่วงหน้า (Futures), สัญญาออปชั่น (Options), สัญญาฟอร์เวิร์ด (Forwards) และสัญญาแลกเปลี่ยน (Swaps)

  • Futures: สัญญามาตรฐานในตลาดกลาง ผูกมัดทั้งสองฝ่าย
  • Options: ให้สิทธิ์แต่ไม่บังคับ ในตลาดกลาง
  • Forwards: สัญญาเฉพาะบุคคล OTC ผูกมัดทั้งคู่
  • Swaps: แลกเปลี่ยนกระแสเงินในอนาคต OTC

การลงทุนในตราสารอนุพันธ์ มีความเสี่ยงอะไรบ้างที่นักลงทุนไทยต้องระวังเป็นพิเศษ?

เสี่ยงหลักคือจาก leverage ที่ขยายขาดทุนเกินเงินลงทุน, เสี่ยงตลาดจากราคาผันผวน, เสี่ยงสภาพคล่องที่ซื้อขายยาก, เสี่ยงกฎระเบียบจาก ก.ล.ต. ที่เปลี่ยน และเสี่ยงคู่สัญญาใน OTC

ประโยชน์หลักของการซื้อขายตราสารอนุพันธ์สำหรับพอร์ตการลงทุนของคนไทยคืออะไร?

ช่วย hedging ผันผวนจากสินทรัพย์อื่น, เก็งกำไรตลาดขึ้นลง, ใช้ leverage เพิ่มพลังลงทุน, และกระจายความเสี่ยงในพอร์ตให้สมดุลยิ่งขึ้น

อยากเริ่มต้นลงทุนตราสารอนุพันธ์ในไทย ต้องทำอย่างไรบ้าง และควรเลือกโบรกเกอร์แบบไหน?

ศึกษาข้อมูลละเอียดก่อน แล้วเปิดบัญชีกับโบรกเกอร์ที่ ก.ล.ต. รับรอง ควรเลือกที่เชื่อถือได้ แพลตฟอร์มใช้งานง่าย ค่าธรรมเนียมสมเหตุสมผล และบริการดี หลังเปิดต้องวางหลักประกันก่อนเทรดจริง

ตราสารอนุพันธ์ กับ หุ้น มีความแตกต่างกันอย่างไร? ควรเลือกแบบไหนดี?

หุ้นคือถือกรรมสิทธิ์บริษัทตรงๆ ส่วนตราสารอนุพันธ์เป็นสัญญาอ้างอิงสินทรัพย์อื่นโดยไม่ถือจริง มี leverage สูง กำไรขาดทุนเร็วกว่าหุ้น
เลือกตามเป้าหมายและความเสี่ยง:

  • หุ้น: สำหรับลงทุนยาว เป็นเจ้าของธุรกิจ เสี่ยงปานกลาง-สูง
  • ตราสารอนุพันธ์: สำหรับ hedging เก็งกำไรสั้น เสี่ยงสูงมาก

TFEX คืออะไร และมีบทบาทสำคัญต่อตลาดตราสารอนุพันธ์ไทยอย่างไร?

TFEX คือตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้าแห่งประเทศไทย เป็นศูนย์กลางซื้อขายอนุพันธ์ กำหนดกฎ กลไกแพลตฟอร์มโปร่งใสภายใต้ ก.ล.ต. และมี TCH รับประกันชำระ ทำให้การเทรดน่าเชื่อถือและปลอดภัย

นักลงทุนไทยสามารถใช้ตราสารอนุพันธ์ป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนได้อย่างไร?

ใช้ Currency Futures เช่น USD Futures ใน TFEX เพื่อล็อกอัตราแลกเปลี่ยน เช่น ถ้ามีรายรับดอลลาร์ในอนาคตและกลัวบาทแข็ง ก็ขาย USD Futures เพื่อป้องกันมูลค่าที่ลดลง

มีตัวอย่างตราสารอนุพันธ์ที่ได้รับความนิยมในตลาดไทยบ้างไหม?

ตัวอย่างฮิตคือ SET50 Index Futures สำหรับดัชนีหุ้นใหญ่, Gold Futures สำหรับทองคำ, Single Stock Futures สำหรับหุ้นเดี่ยว, และ USD Futures สำหรับอัตราแลกเปลี่ยน ผ่าน TFEX เพื่อเข้าถึงสินทรัพย์หลากหลาย

การลงทุนตราสารอนุพันธ์ในประเทศไทย มีข้อดีและข้อเสียที่สำคัญอะไรบ้าง?

ข้อดี: กำไรสูงจาก leverage, เก็งกำไรขึ้นลงได้, hedging เสี่ยง, กระจายพอร์ต
ข้อเสีย: เสี่ยงสูงจาก leverage, ต้องวางหลักประกัน, สัญญามีวันหมดอายุ, ราคาผันผวนเร็ว, สภาพคล่องต่ำบางตัว

發佈留言

發佈留言必須填寫的電子郵件地址不會公開。 必填欄位標示為 *