Sharpe Ratio คืออะไร? 5 เหตุผลที่นักลงทุนไทยต้องรู้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพพอร์ต

บทนำ: ทำไม Sharpe Ratio จึงสำคัญต่อการลงทุนของคุณ

Sharpe Ratio ถือเป็นเครื่องมือหลักที่ช่วยให้นักลงทุนประเมินผลงานการลงทุนได้อย่างรอบคอบ ไม่ใช่แค่ดูผลตอบแทนที่ได้มากน้อย แต่ยังคำนึงถึงความเสี่ยงที่ต้องเผชิญด้วย โดยเฉพาะสำหรับนักลงทุนในไทยที่ต้องการปรับปรุงพอร์ตการลงทุนให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น การเข้าใจแนวคิดนี้จะช่วยให้คุณตัดสินใจได้อย่างมีสติและยั่งยืนมากกว่าเดิม

ภาพประกอบนักลงทุนมองพอร์ตโฟลิโอที่สมดุลระหว่างผลตอบแทนและความเสี่ยง

Sharpe Ratio คืออะไร? ความหมายและที่มา

อัตราส่วนชาร์ป หรือ Sharpe Ratio เป็นตัววัดที่พัฒนาขึ้นโดยศาสตราจารย์วิลเลียม เอฟ. ชาร์ป ผู้ได้รับรางวัลโนเบลสาขาเศรษฐศาสตร์ เพื่อประเมินผลตอบแทนที่ปรับตามความเสี่ยงแล้ว สิ่งนี้ช่วยบอกว่าพอร์ตโฟลิโอหรือกองทุนที่คุณเลือกนั้น สร้างกำไรได้คุ้มค่ากับระดับความเสี่ยงที่ต้องแบกรับหรือไม่ ยิ่งตัวเลขนี้สูง ก็ยิ่งแสดงถึงการลงทุนที่ชาญฉลาดมากขึ้น

การวัดผลการลงทุนไม่ควรหยุดอยู่ที่ตัวเลขกำไรเพียงอย่างเดียว เพราะความผันผวนของตลาดสามารถทำให้พอร์ตสั่นคลอนได้ Sharpe Ratio จึงเข้ามาช่วยเติมเต็ม โดยให้มุมมองที่เป็นธรรมในการเปรียบเทียบตัวเลือกที่มีความเสี่ยงต่างระดับกัน ทำให้คุณมองเห็นภาพรวมที่ชัดเจนยิ่งขึ้น

ภาพประกอบกราฟการเงินชี้จุดสมดุลระหว่างผลตอบแทนสูงและความเสี่ยงต่ำ

ไม่ใช่แค่ผลตอบแทน แต่ต้องคำนึงถึง “ความเสี่ยง” ด้วย

หลายครั้งที่นักลงทุนหลงใหลกับตัวเลขผลตอบแทนที่ดูน่าประทับใจ แต่ลืมไปว่ามันมักมาพร้อมความไม่แน่นอนที่สูงตาม การเลือกทางเดินแบบนี้โดยไม่พิจารณาความเสี่ยง อาจนำไปสู่ความผันผวนรุนแรงในพอร์ต ซึ่งไม่สอดคล้องกับระดับที่คุณยอมรับได้

นี่คือจุดที่ Sharpe Ratio ช่วยได้ โดยมันเผยให้เห็นว่าการลงทุนนั้นให้ผลตอบแทนเหนือกว่าอัตราที่ปลอดภัยแค่ไหน เมื่อชั่งน้ำหนักกับความเสี่ยงที่เกิดขึ้น ถ้าผลตอบแทนส่วนเกินนั้นโดดเด่น ก็หมายถึงคุณภาพของการลงทุนที่เหนือชั้น

ภาพประกอบตาชั่งชั่งน้ำหนักผลตอบแทนสูงกับความเสี่ยงสูง โดยมีนักลงทุนประเมิน

เจาะลึกสูตรคำนวณ Sharpe Ratio: ส่วนประกอบสำคัญที่ต้องรู้

เมื่อคุณเข้าใจสูตรพื้นฐานของ Sharpe Ratio แล้ว การวิเคราะห์จะกลายเป็นเรื่องง่ายและแม่นยำมากขึ้น สูตรนี้มีองค์ประกอบหลักสามส่วนที่เชื่อมโยงระหว่างผลตอบแทนกับความเสี่ยง โดยตรง

สูตร Sharpe Ratio และความหมายของแต่ละส่วน

สูตรพื้นฐานสำหรับคำนวณคือ:

Sharpe Ratio = (Rp – Rf) / σp

ซึ่งแต่ละส่วนมีรายละเอียดดังนี้:

  • Rp (ผลตอบแทนของพอร์ตโฟลิโอ): อัตราผลตอบแทนเฉลี่ยที่พอร์ตหรือกองทุนทำได้ในช่วงเวลาที่กำหนด เช่น รายปี
  • Rf (อัตราผลตอบแทนที่ปราศจากความเสี่ยง): ผลตอบแทนจากทางเลือกที่ปลอดภัยสุด เช่น พันธบัตรรัฐบาล
  • σp (ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน): ตัววัดความผันผวนของผลตอบแทน ซึ่งสะท้อนระดับความเสี่ยง ถ้าค่าสูง แสดงว่าผลตอบแทนแกว่งตัวมากและเสี่ยงสูง

เพื่อความชัดเจน ลองดูตารางสรุปส่วนประกอบพร้อมตัวอย่าง:

ส่วนประกอบ ความหมาย แหล่งข้อมูล (ตัวอย่างในไทย)
Rp (ผลตอบแทนพอร์ตโฟลิโอ) ผลตอบแทนเฉลี่ยของการลงทุน รายงานผลประกอบการกองทุน, เว็บไซต์ บลจ., Finnomena
Rf (อัตราผลตอบแทนที่ปราศจากความเสี่ยง) ผลตอบแทนจากสินทรัพย์ที่ไม่มีความเสี่ยง อัตราดอกเบี้ยพันธบัตรรัฐบาลไทย (เช่น อายุ 3 เดือน, 1 ปี)
σp (ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน) ความผันผวนของผลตอบแทน (ความเสี่ยง) รายงานผลประกอบการกองทุน, Morningstar, SETTRADE

การนำสูตรนี้ไปใช้ช่วยให้นักลงทุนเปรียบเทียบพอร์ตต่างๆ ได้อย่างยุติธรรม โดยคำนึงถึงความเสี่ยงที่ต่างกันไป

การเลือก “อัตราผลตอบแทนที่ปราศจากความเสี่ยง” ที่เหมาะสม

การกำหนดค่า Rf ให้ถูกต้องเป็นขั้นตอนที่ละเอียดอ่อน เพราะมันส่งผลโดยตรงต่อผลลัพธ์ทั้งหมด ในตลาดไทย คุณสามารถอ้างอิงจากอัตราผลตอบแทนของ พันธบัตรรัฐบาลไทย ซึ่งมักเลือกพันธบัตรระยะสั้น เช่น 3 เดือนหรือ 1 ปี เนื่องจากมีความเสี่ยงต่ำและสภาพคล่องดี

ควรให้ Rf สอดคล้องกับกรอบเวลาของ Rp และ σp เช่น ถ้าคำนวณรายปี ก็ใช้ Rf รายปี การปรับค่า Rf เล็กน้อยอาจทำให้ Sharpe Ratio เปลี่ยนแปลง ดังนั้น ความสม่ำเสมอจึงจำเป็น เพื่อให้การวิเคราะห์น่าเชื่อถือ

การตีความ Sharpe Ratio: เท่าไหร่ถึงเรียกว่า “ดี” และควรใช้เมื่อไหร่

หลังจากคำนวณเสร็จแล้ว สิ่งสำคัญคือการ解读ค่าที่ได้ เพื่อนำไปประยุกต์กับการตัดสินใจจริง

ค่า Sharpe Ratio บอกอะไรคุณได้บ้าง? (บวก, ลบ, สูง, ต่ำ)

ตัวเลขนี้สามารถเล่าเรื่องราวของการลงทุนของคุณได้หลายแง่มุม:

  • Sharpe Ratio เป็นบวก (ค่า > 0): แสดงว่าผลตอบแทนเหนือกว่าอัตราปลอดภัย โดยค่าที่สูงยิ่งดี หมายถึงประสิทธิภาพที่ยอดเยี่ยมในการจัดการความเสี่ยง
  • Sharpe Ratio เป็นลบ (ค่า < 0): บ่งชี้ว่าผลตอบแทนต่ำกว่าอัตราปลอดภัย หรือขาดทุน คุณรับความเสี่ยงแต่ไม่ได้รับผลตอบแทนที่คุ้มค่า
  • Sharpe Ratio เท่ากับศูนย์ (ค่า = 0): ผลตอบแทนเท่ากับอัตราปลอดภัยพอดี ไม่มีส่วนเกินจากความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้น

โดยรวมแล้ว ค่าที่สูงกว่าเสมอยิ่งดี เพราะมันสะท้อนถึงความสามารถในการสร้างกำไรส่วนเกินต่อหน่วยความเสี่ยง Sharpe Ratio มักนำมาเปรียบเทียบกองทุนหรือพอร์ตที่คล้ายคลึงกัน เพื่อค้นหาตัวเลือกที่ดีที่สุด

Sharpe Ratio เท่าไหร่ดี? เกณฑ์การประเมินและเปรียบเทียบในตลาดไทย

ไม่มีเกณฑ์ตายตัวว่าค่าไหนดีที่สุด เพราะขึ้นอยู่กับประเภทสินทรัพย์ สภาวะตลาด และช่วงเวลา แต่ในบริบทไทย มีแนวทางทั่วไปดังนี้:

  • Sharpe Ratio < 1.0: อยู่ในระดับกลาง ไม่โดดเด่นนัก
  • Sharpe Ratio 1.0 – 2.0: ดีเยี่ยม แสดงถึงการสร้างผลตอบแทนที่สมดุลกับความเสี่ยง
  • Sharpe Ratio > 2.0: ยอดเยี่ยม สามารถสร้างกำไรส่วนเกินได้อย่างน่าประทับใจ

สำหรับตลาดหุ้นไทยหรือกองทุนรวม ควรนำค่า Sharpe Ratio ไปเทียบกับ ดัชนีตลาด เช่น SET Index หรือกองทุนในกลุ่มเดียวกัน เพื่อดูว่าดีกว่าค่าเฉลี่ยหรือไม่ เช่น ถ้ากองทุนหุ้นไทยมีค่า 1.5 ขณะที่ SET Index อยู่ที่ 0.8 ในช่วงเดียวกัน กองทุนนั้นก็น่าลงทุนกว่าเพราะปรับความเสี่ยงได้ดี

Sharpe Ratio กับการใช้งานจริง: กลยุทธ์การลงทุนสำหรับนักลงทุนไทย

Sharpe Ratio ไม่ใช่แค่ทฤษฎี แต่เป็นเครื่องมือที่นำไปใช้จริงได้ โดยเฉพาะในการวางแผนสำหรับนักลงทุนไทย

ใช้ Sharpe Ratio เลือกกองทุนรวมและหุ้นอย่างไร

นักลงทุนไทยสามารถนำ Sharpe Ratio มาเป็นเกณฑ์หลักในการเลือกดังนี้:

  1. คัดเลือกกองทุนรวม: สำหรับกองทุนประเภทเดียวกัน เช่น หุ้นไทยหรือตราสารหนี้ ให้เลือกตัวที่มี Sharpe Ratio สูงสุดในช่วง 3-5 ปี ซึ่งบ่งบอกถึงความสามารถในการจัดการความผันผวน คุณสามารถตรวจสอบได้จากแพลตฟอร์มอย่าง Finnomena หรือเว็บ บลจ.
  2. ประเมินพอร์ตโฟลิโอส่วนตัว: คำนวณค่า Sharpe ของพอร์ตคุณ แล้วเทียบกับ benchmark หรือพอร์ตอื่น ถ้าค่าต่ำ อาจต้องปรับโครงสร้างเพื่อกระจายความเสี่ยงให้ดีขึ้น
  3. วิเคราะห์หุ้นรายตัว (ในบางกรณี): แม้จะเหมาะกับพอร์ตมากกว่า แต่ก็ใช้ได้เบื้องต้นสำหรับหุ้นคล้ายกัน โดยดูผลตอบแทนและความผันผวนของแต่ละตัว

ตัวอย่างง่ายๆ: สมมติเปรียบเทียบสองกองทุนหุ้นไทย โดย Rf = 2%

  • กองทุน A: ผลตอบแทน 15%, ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 10% → Sharpe Ratio = (15% – 2%) / 10% = 1.3
  • กองทุน B: ผลตอบแทน 12%, ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 6% → Sharpe Ratio = (12% – 2%) / 6% = 1.67

แม้ A ให้ผลตอบแทนสูงกว่า แต่ B ดีกว่าเพราะปรับความเสี่ยงได้มีประสิทธิภาพ

ข้อจำกัดและสิ่งที่ Sharpe Ratio ไม่ได้บอกคุณ

ถึงแม้จะมีประโยชน์ แต่ Sharpe Ratio ก็มีจุดอ่อนที่ควรระวัง:

  • สมมติฐานการแจกแจงแบบปกติ (Normal Distribution): มัน假设ว่าผลตอบแทนกระจายปกติ แต่ในความจริง โดยเฉพาะช่วงวิกฤต อาจมีเหตุการณ์极端ที่ไม่คาดคิดบ่อย
  • ไม่สะท้อนความเสี่ยงขาลงทั้งหมด: ใช้ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานที่วัดทั้งขึ้นและลง แต่บางคนสนใจเฉพาะการขาดทุน
  • ไม่คำนึงถึงสภาพคล่อง: ไม่บอกว่าสินทรัพย์นั้นซื้อขายง่ายแค่ไหน ซึ่งสำคัญสำหรับการดำเนินการ
  • ความอ่อนไหวต่อช่วงเวลา: ค่าอาจเปลี่ยนมากถ้าปรับช่วงข้อมูล ดังนั้นควรใช้ข้อมูลยาวๆ และเทียบในกรอบเดียวกัน

ดังนั้น ควรใช้คู่กับเครื่องมืออื่นๆ และหลีกเลี่ยงการพึ่งพามันคนเดียว

เพิ่มประสิทธิภาพพอร์ตโฟลิโอของคุณด้วยการปรับ Sharpe Ratio

การยกระดับ Sharpe Ratio หมายถึงการเพิ่มผลตอบแทนส่วนเกินโดยลดความเสี่ยงโดยรวม สำหรับนักลงทุนไทย สามารถทำได้ผ่านวิธีเหล่านี้:

  • การกระจายความเสี่ยง (Diversification): ลงทุนหลากหลาย เช่น หุ้นไทย ต่างประเทศ ตราสารหนี้ หรืออสังหาฯ ซึ่งช่วยลดความผันผวนโดยไม่กระทบผลตอบแทนมาก
  • การปรับสัดส่วนสินทรัพย์ (Asset Allocation): ทบทวนและจัดสรรใหม่ให้เหมาะกับตลาดและเป้าหมาย โดยเลือกสินทรัพย์ที่มีความสัมพันธ์ต่ำ เพื่อยกระดับ Sharpe Ratio เช่น เพิ่มสินทรัพย์ปลอดภัยในช่วงตลาดปั่นป่วน
  • การเลือกสินทรัพย์ที่มีคุณภาพ: มุ่งหากองทุนหรือหุ้นที่มีผลงานสม่ำเสมอจากผู้จัดการชำนาญ ซึ่งช่วยให้พอร์ตแข็งแกร่งขึ้น

การปรับปรุงเหล่านี้อย่างต่อเนื่องจะทำให้พอร์ตของคุณสร้างผลตอบแทนยั่งยืนในตลาดไทย

เปรียบเทียบ Sharpe Ratio กับตัวชี้วัดผลตอบแทนปรับความเสี่ยงอื่นๆ

Sharpe Ratio เป็นแค่หนึ่งในเครื่องมือสำหรับวัดผลตอบแทนปรับความเสี่ยง การรู้จักตัวอื่นๆ จะทำให้การวิเคราะห์ของคุณครอบคลุมยิ่งขึ้น

Treynor Ratio คืออะไร? แตกต่างกับ Sharpe Ratio อย่างไร

Treynor Ratio คล้าย Sharpe แต่ใช้ Beta เป็นตัววัดความเสี่ยงแทน:

Treynor Ratio = (Rp – Rf) / βp

βp คือ Beta ของพอร์ต ซึ่งวัดความเสี่ยงระบบเมื่อเทียบกับตลาด Treynor เหมาะกับพอร์ตที่กระจายความเสี่ยงดีแล้ว และเหลือแต่ความเสี่ยงหลัก

จุดต่างหลัก:

  • Sharpe Ratio: วัดความเสี่ยงทั้งหมดด้วยส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน เหมาะกับพอร์ตที่ยังไม่สมบูรณ์
  • Treynor Ratio: โฟกัสความเสี่ยงระบบด้วย Beta ดีสำหรับประเมินผู้จัดการกองทุนในพอร์ตกระจายดี

Sortino Ratio คืออะไร? เมื่อความเสี่ยงขาลงสำคัญกว่า

Sortino Ratio พัฒนาจาก Sharpe โดยมุ่งที่ความเสี่ยงขาลงเท่านั้น:

Sortino Ratio = (Rp – Rf) / Downside Deviation

Downside Deviation คือส่วนเบี่ยงเบนของผลตอบแทนที่ต่ำกว่าค่าเป้าหมาย Sortino ช่วยนักลงทุนที่กลัวการขาดทุน โดยไม่สนใจความผันผวนขาขึ้น

Information Ratio คืออะไร? สำหรับการประเมินผู้จัดการกองทุน

Information Ratio วัดความสามารถของผู้จัดการในการสร้าง Alpha เหนือ benchmark ด้วย Tracking Error:

Information Ratio = (Rp – Rb) / Tracking Error

Rb คือผลตอบแทน benchmark ค่าสูงแสดงถึง Alpha ที่สม่ำเสมอและผันผวนน้อย เหมาะสำหรับประเมินกองทุน active

ตารางสรุปเปรียบเทียบ:

ตัวชี้วัด สิ่งที่วัด ประเภทความเสี่ยง เหมาะสำหรับ
Sharpe Ratio ผลตอบแทนส่วนเกินต่อหน่วยความเสี่ยงรวม ความเสี่ยงรวม (Total Risk) เปรียบเทียบกองทุน/พอร์ตโฟลิโอทั่วไป
Treynor Ratio ผลตอบแทนส่วนเกินต่อหน่วยความเสี่ยงเชิงระบบ ความเสี่ยงเชิงระบบ (Systematic Risk) พอร์ตโฟลิโอที่กระจายความเสี่ยงดีแล้ว, ผู้จัดการกองทุน
Sortino Ratio ผลตอบแทนส่วนเกินต่อหน่วยความเสี่ยงขาลง ความเสี่ยงขาลง (Downside Risk) นักลงทุนที่กังวลการขาดทุน, กองทุนที่เน้นรักษากระแสเงินสด
Information Ratio ผลตอบแทนส่วนเกิน (Alpha) ต่อ Tracking Error ความเสี่ยงของผลตอบแทนส่วนเกิน ประเมินประสิทธิภาพผู้จัดการกองทุน Active

การเลือกตัวชี้วัดใด ขึ้นกับบริบทและเป้าหมายส่วนตัวของคุณ

สรุป: ใช้ Sharpe Ratio อย่างชาญฉลาดเพื่อการลงทุนที่ยั่งยืน

Sharpe Ratio ได้เปลี่ยนแปลงวิธีที่เราประเมินการลงทุน โดยผสมผสานความเสี่ยงเข้ากับผลตอบแทนอย่างลงตัว สำหรับนักลงทุนไทย การนำเครื่องมือนี้ไปใช้อย่างมีกลยุทธ์ จะช่วยให้การตัดสินใจมีเหตุผลและมีประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเลือกกองทุน ประเมินพอร์ต หรือเปรียบเทียบตัวเลือก

จำไว้ว่าควรใช้คู่กับตัวชี้วัดอื่นและตระหนักถึงข้อจำกัด การลงทุนที่แท้จริงไม่ใช่การไล่ล่าผลตอบแทนสูงสุด แต่คือการสร้างกำไรที่เหมาะสมกับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ ซึ่งเป็นมรดกจากศาสตราจารย์ชาร์ป

ด้วยการเรียนรู้และปรับใช้ Sharpe Ratio คุณจะก้าวหน้าในตลาดไทยได้อย่างมั่นใจและบรรลุเป้าหมายทางการเงิน

คำถามที่พบบ่อย (FAQs)

1. Sharpe Ratio คืออะไร และทำไมนักลงทุนไทยควรรู้จัก?

Sharpe Ratio คือตัวชี้วัดผลตอบแทนที่ปรับด้วยความเสี่ยง ซึ่งบอกว่าการลงทุนหนึ่งๆ สร้างผลตอบแทนส่วนเกินจากอัตราผลตอบแทนที่ปราศจากความเสี่ยงได้ดีแค่ไหนเมื่อเทียบกับความผันผวนที่รับไป นักลงทุนไทยควรรู้จักเพื่อใช้ประเมินประสิทธิภาพของกองทุนรวม หุ้น หรือพอร์ตโฟลิโอส่วนตัว เพื่อให้แน่ใจว่าผลตอบแทนที่ได้รับนั้นคุ้มค่ากับความเสี่ยงที่แบกรับ

2. ค่า Sharpe Ratio เท่าไหร่ถึงจะถือว่า “ดี” สำหรับกองทุนรวมในตลาดหุ้นไทย?

โดยทั่วไปแล้ว ยิ่งค่า Sharpe Ratio สูงเท่าไหร่ยิ่งดี ไม่มีค่าตายตัวว่าเท่าไหร่ถึงดีที่สุด แต่ในตลาดไทย ค่า Sharpe Ratio ที่สูงกว่า 1.0 ถือว่าดี และถ้าเกิน 2.0 ถือว่ายอดเยี่ยมมาก ควรเปรียบเทียบกับกองทุนในกลุ่มเดียวกัน หรือกับดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET Index) ในช่วงเวลาเดียวกัน

3. ถ้า Sharpe Ratio ติดลบ หมายความว่าอย่างไร และควรทำอย่างไรกับพอร์ตลงทุน?

ถ้า Sharpe Ratio ติดลบ หมายความว่าการลงทุนนั้นให้ผลตอบแทนน้อยกว่าอัตราผลตอบแทนที่ปราศจากความเสี่ยง หรือขาดทุนเมื่อเทียบกับความเสี่ยงที่รับไป นั่นคือ คุณรับความเสี่ยงแต่กลับได้ผลตอบแทนที่แย่กว่าการลงทุนที่ไม่มีความเสี่ยง ในสถานการณ์นี้ คุณควรพิจารณาทบทวนพอร์ตโฟลิโอของคุณ อาจปรับลดความเสี่ยง กระจายการลงทุนใหม่ หรือพิจารณาเปลี่ยนสินทรัพย์ลงทุน

4. Sharpe Ratio แตกต่างจาก Treynor Ratio และ Sortino Ratio อย่างไรในการเลือกกองทุน?

  • Sharpe Ratio: วัดผลตอบแทนส่วนเกินต่อหน่วยของความเสี่ยงรวม (Total Risk) เหมาะกับการเปรียบเทียบกองทุนทั่วไป
  • Treynor Ratio: วัดผลตอบแทนส่วนเกินต่อหน่วยของความเสี่ยงเชิงระบบ (Systematic Risk) หรือ Beta เหมาะกับพอร์ตโฟลิโอที่กระจายความเสี่ยงดีแล้ว
  • Sortino Ratio: วัดผลตอบแทนส่วนเกินต่อหน่วยของความเสี่ยงขาลง (Downside Risk) เท่านั้น เหมาะสำหรับนักลงทุนที่กังวลการขาดทุนเป็นหลัก

5. เราจะหาข้อมูลอัตราผลตอบแทนที่ปราศจากความเสี่ยง (Risk-Free Rate) ที่เหมาะสมสำหรับคำนวณ Sharpe Ratio ในประเทศไทยได้จากที่ไหน?

สำหรับประเทศไทย คุณสามารถใช้อัตราผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลไทยระยะสั้น เช่น พันธบัตรรัฐบาลอายุ 3 เดือน หรือ 1 ปี เป็น Risk-Free Rate ได้ คุณสามารถหาข้อมูลเหล่านี้ได้จากเว็บไซต์ของ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) หรือเว็บไซต์ของสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.)

6. Sharpe Ratio มีข้อจำกัดอะไรบ้าง และมีสถานการณ์ใดบ้างที่ไม่ควรใช้เป็นหลัก?

ข้อจำกัดของ Sharpe Ratio ได้แก่ การสมมติว่าผลตอบแทนมีการแจกแจงแบบปกติ ไม่ได้พิจารณาความเสี่ยงขาลงโดยเฉพาะ และไม่คำนึงถึงสภาพคล่องของสินทรัพย์ ไม่ควรใช้ Sharpe Ratio เป็นหลักเมื่อผลตอบแทนไม่มีการแจกแจงแบบปกติอย่างชัดเจน (เช่น สินทรัพย์ที่มีเหตุการณ์ Extreme Event บ่อยครั้ง) หรือเมื่อคุณต้องการโฟกัสที่ความเสี่ยงขาลงเท่านั้น (ควรใช้ Sortino Ratio แทน)

7. นักลงทุนรายย่อยในไทยควรใช้ Sharpe Ratio ในการตัดสินใจลงทุนในสินทรัพย์ประเภทใด?

นักลงทุนรายย่อยในไทยควรใช้ Sharpe Ratio ในการตัดสินใจลงทุนในสินทรัพย์ที่เน้นการบริหารจัดการพอร์ตโฟลิโอเป็นหลัก เช่น กองทุนรวมประเภทต่างๆ (กองทุนหุ้น กองทุนตราสารหนี้ กองทุนผสม) หรือใช้ประเมินพอร์ตโฟลิโอการลงทุนส่วนตัวที่ประกอบด้วยหุ้นหลายตัว การใช้ Sharpe Ratio ในการเลือกหุ้นรายตัวอาจทำได้แต่ไม่เหมาะสมเท่ากับใช้กับพอร์ตโฟลิโอที่มีการกระจายความเสี่ยงแล้ว

8. มีเครื่องมือหรือเว็บไซต์ใดบ้างที่ช่วยคำนวณหรือแสดงค่า Sharpe Ratio ของกองทุนไทย?

มีหลายเครื่องมือและเว็บไซต์ที่ช่วยแสดงค่า Sharpe Ratio ของกองทุนไทย เช่น Finnomena, Morningstar Thailand, หรือเว็บไซต์ของบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ต่างๆ โดยตรง คุณสามารถค้นหากองทุนที่สนใจและดูข้อมูลประสิทธิภาพรวมถึงค่า Sharpe Ratio ได้จากแพลตฟอร์มเหล่านี้

9. การปรับพอร์ตโฟลิโออย่างไรจึงจะช่วยให้ Sharpe Ratio ของเราดีขึ้นได้?

เพื่อให้ Sharpe Ratio ดีขึ้น คุณสามารถทำได้โดยการเพิ่มผลตอบแทนของพอร์ตโฟลิโอ (Rp) หรือลดความผันผวนของพอร์ตโฟลิโอ (σp) ซึ่งรวมถึง:

  • กระจายความเสี่ยง: ลงทุนในสินทรัพย์หลากหลายประเภทที่มีความสัมพันธ์กันต่ำ
  • ปรับสัดส่วนสินทรัพย์: จัดสรรเงินลงทุนในแต่ละสินทรัพย์ให้เหมาะสมกับภาวะตลาดและระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้
  • เลือกสินทรัพย์ที่มีคุณภาพ: เลือกกองทุนหรือหุ้นที่มีประวัติผลงานดีและมีผู้จัดการที่มีความสามารถ

10. Sharpe Ratio ใช้ได้กับสินทรัพย์ดิจิทัล (เช่น คริปโตเคอร์เรนซี) ในไทยหรือไม่?

ในทางทฤษฎี Sharpe Ratio สามารถนำมาใช้ประเมินสินทรัพย์ดิจิทัลได้เช่นกัน โดยคำนวณจากผลตอบแทนและความผันผวนของคริปโตเคอร์เรนซีนั้นๆ อย่างไรก็ตาม ควรระมัดระวังเนื่องจากตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลมีความผันผวนสูงมาก และผลตอบแทนมักไม่มีการแจกแจงแบบปกติ ทำให้ข้อจำกัดของ Sharpe Ratio มีความสำคัญมากขึ้น นอกจากนี้ การเลือก Risk-Free Rate ที่เหมาะสมสำหรับสินทรัพย์ที่มีความผันผวนสูงเช่นคริปโตเคอร์เรนซีอาจมีความท้าทายเช่นกัน

發佈留言

發佈留言必須填寫的電子郵件地址不會公開。 必填欄位標示為 *