roe ย่อมาจากอะไร? 5 ข้อควรรู้สำหรับนักลงทุนไทยยุคใหม่เพื่อคัดเลือกหุ้นอย่างชาญฉลาด

### ROE ย่อมาจากอะไร? ความหมายที่นักลงทุนต้องรู้

Return on Equity หรือที่รู้จักกันในชื่อ ROE คือตัวชี้วัดทางการเงินที่ช่วยวัดความสามารถของบริษัทในการสร้างกำไรจากทุนของผู้ถือหุ้น โดยตรง สรุปง่ายๆ คือ มันบอกว่าทุกบาทที่นักลงทุนเอาไปฝากไว้ในบริษัทนั้น สามารถคืนกำไรสุทธิมาได้เท่าไหร่ต่อบาท นักลงทุนจำนวนมากชื่นชอบตัวเลขนี้เพราะมันไม่ใช่แค่เรื่องกำไรล้วนๆ แต่ยังสะท้อนวิธีที่ผู้บริหารใช้เงินทุนให้เกิดประโยชน์สูงสุด

ตัวชี้วัดนี้กลายเป็นเครื่องมือหลักสำหรับการประเมินว่าบริษัทบริหารงานได้ดีแค่ไหน และสามารถสร้างมูลค่าให้เจ้าของธุรกิจได้มากน้อยเพียงใด ถ้าบริษัทมี ROE ในระดับสูง นั่นหมายความว่าผู้บริหารรู้จักใช้ส่วนของผู้ถือหุ้นให้เกิดผลตอบแทนที่คุ้มค่า ซึ่งเป็นสัญญาณบวกสำหรับใครที่กำลังมองหาหุ้นที่มีโอกาสเติบโตในอนาคต โดยเฉพาะในตลาดหุ้นไทยที่การแข่งขันรุนแรง นักลงทุนยุคใหม่ที่เข้าใจ ROE อย่างลึกซึ้งจะตัดสินใจได้มั่นใจกว่าเดิม

An investor a Thai man or woman studying stock charts and financial reports with ROE clearly visible on a screen illustration style

### ROE คำนวณอย่างไร? สูตรและองค์ประกอบสำคัญ

การหาค่า ROE ไม่ซับซ้อนนัก เพียงใช้ตัวเลขจากงบการเงินสองส่วนหลัก คือกำไรสุทธิและส่วนของผู้ถือหุ้น ซึ่งหาได้จากเอกสารทางการเงินของบริษัท

สูตรพื้นฐานคือ:

$$ROE = \frac{\text{กำไรสุทธิ (Net Profit)}}{\text{ส่วนของผู้ถือหุ้น (Shareholders’ Equity)}} \times 100\%$$

กำไรสุทธิคือจำนวนเงินที่เหลือหลังหักค่าใช้จ่ายและภาษีทั้งหมด ซึ่งดูได้จากงบกำไรขาดทุน ส่วนของผู้ถือหุ้นคือมูลค่าสุทธิที่เป็นของเจ้าของบริษัท หรือสินทรัพย์ลบหนี้สินทั้งหมด ซึ่งมาจากงบดุล โดยปกติเราจะใช้วิธีเฉลี่ยค่าต้นงวดและปลายงวด เพื่อให้สะท้อนภาพรวมทั้งปีได้ชัดเจนยิ่งขึ้น

เมื่อเข้าใจส่วนประกอบเหล่านี้ นักลงทุนจะไม่แค่จำสูตร แต่ยังวิเคราะห์ได้ลึกซึ้งว่าบริษัทสร้างกำไรจากทุนอย่างไร การคำนวณแบบนี้ช่วยให้เห็นภาพชัดเจน โดยเฉพาะเมื่อนำข้อมูลจริงจากงบการเงินมาปรับใช้

A businesswoman explaining ROE Return on Equity concept to a group of investors with financial graphs in the background illustration style

#### ส่วนของผู้ถือหุ้น คืออะไร?

ในงบดุล ส่วนของผู้ถือหุ้นคือส่วนที่แสดงถึงสิทธิ์ของเจ้าของในบริษัท โดยประกอบด้วยทุนจดทะเบียนที่นักลงทุนนำเข้าเริ่มต้น รวมถึงกำไรสะสมที่บริษัทเก็บไว้เพื่อนำไปขยายกิจการต่อไป ถ้าส่วนนี้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จากกำไรที่สะสม นั่นบ่งบอกถึงการเติบโตภายในที่แข็งแกร่งของธุรกิจ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ ROE มีความหมายมากขึ้น

Hands holding a calculator and financial statements showing net profit and shareholders equity with the ROE formula illustration style

### ROE ที่ดีควรเป็นเท่าไหร่? การตีความและการวิเคราะห์

ไม่มีตัวเลข ROE ที่เหมาะสมแบบตายตัว เพราะแต่ละอุตสาหกรรมมีลักษณะเฉพาะตัวและโครงสร้างทุนที่ต่างกัน แต่โดยหลักแล้ว ค่าที่สูงกว่าก็ดีกว่า เพราะบ่งชี้ถึงความสามารถในการทำกำไรที่เหนือกว่า

ในการตีความ ROE ให้มีประสิทธิภาพ นักลงทุนควรพิจารณาหลักๆ ดังนี้:

* เปรียบเทียบกับค่าเฉลี่ยในอุตสาหกรรม: ดูว่าบริษัทที่สนใจมี ROE สูงกว่าค่าเฉลี่ยของกลุ่มเดียวกันหรือคู่แข่งใกล้เคียงไหม ถ้าสูงกว่า แสดงว่าบริษัทนั้นอาจนำหน้าคนอื่นในด้านการแข่งขัน
* ตรวจสอบแนวโน้มย้อนหลัง: การดูข้อมูลหลายปีจะเผยให้เห็นความสม่ำเสมอ ถ้า ROE เติบโตหรือคงที่ในระดับสูง นั่นคือสัญญาณของความมั่นคงในการทำกำไร
* คำนึงถึงวัฏจักรธุรกิจ: บางอุตสาหกรรมอย่างสินค้าโภคภัณฑ์ ROE อาจขึ้นลงตามเศรษฐกิจ ในช่วงบูมอาจพุ่ง แต่ช่วงถดถอยก็อาจร่วงลงได้

โดยทั่วไป ถ้าบริษัทรักษา ROE ไว้ที่ 15-20% หรือสูงกว่านั้นได้อย่างต่อเนื่อง จะถือว่ามีศักยภาพในการทำกำไรดี แต่การวิเคราะห์ไม่ควรหยุดแค่ตัวเลขนี้ ต้องนำไปเชื่อมโยงกับปัจจัยอื่นๆ เพื่อให้ได้มุมมองที่ครบถ้วน

### ROE vs ROA: ความแตกต่างที่สำคัญ

ROE กับ ROA คือสองตัวชี้วัดที่นักลงทุนมักนำมาเปรียบกัน เพราะทั้งคู่เกี่ยวกับประสิทธิภาพกำไร แต่จุดมุ่งหมายต่างกันชัดเจน:

* ROA หรือ Return on Assets วัดว่าบริษัทใช้สินทรัพย์ทั้งหมดสร้างกำไรได้ดีแค่ไหน ไม่ว่าจะมาจากทุนผู้ถือหุ้นหรือหนี้ สูตรคือ (กำไรสุทธิ / สินทรัพย์รวม) x 100% ดังนั้น มันสะท้อนการบริหารสินทรัพย์โดยรวม
* ROE เน้นเฉพาะทุนของผู้ถือหุ้นเท่านั้น อย่างที่อธิบายไปก่อนหน้า

จุดต่างหลักอยู่ที่หนี้สิน เพราะหนี้ไม่เข้าในส่วนของผู้ถือหุ้น ถ้าบริษัทกู้เงินมาลงทุนแล้วได้ผลตอบแทนดี ROE จะพุ่งสูง แต่ ROA อาจไม่เปลี่ยนมากเพราะสินทรัพย์รวมเพิ่มขึ้นด้วย ถ้าเจอ ROE สูงผิดปกติ ควรเช็คอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนหรือ D/E Ratio ประกอบ ถ้าหนี้เยอะเกินไป อาจเสี่ยงทางการเงินในระยะยาว

### ทำไมนักลงทุนไทยต้องสนใจ ROE? ประโยชน์และข้อจำกัด

สำหรับนักลงทุนในไทย ROE มีบทบาทสำคัญมาก โดยเฉพาะตอนคัดเลือกหุ้น เพราะมันช่วยให้เห็นภาพชัดเจนในหลายด้าน:

ประโยชน์ที่ชัดเจน ได้แก่:
1. วัดความสามารถในการทำกำไร: มันบอกว่าบริษัทใช้เงินทุนจากผู้ถือหุ้นได้มีประสิทธิภาพแค่ไหน ผู้บริหารที่เก่งจะทำให้ตัวเลขนี้ออกมาดี
2. ประเมินโอกาสเติบโต: ถ้า ROE สูงและคงที่ บริษัทจะมีกำไรสะสมมากพอที่จะนำไปขยายธุรกิจ สร้างการเติบโตยั่งยืน
3. ช่วยคัดกรองหุ้นเบื้องต้น: นักลงทุนใช้ ROE สแกนหาหุ้นคุณภาพได้เร็ว โดยไม่ต้องเจาะลึกทุกตัว

แต่ ROE ก็มีข้อจำกัดที่ต้องระวัง:
1. มองข้ามหนี้สิน: มันไม่บอกระดับหนี้ ถ้าหนี้สูง ROE อาจดูดีจาก leverage แต่เสี่ยงล้มละลายถ้ากำไรไม่เข้าเป้า
2. อาจถูกบิดเบือน: เช่น จากการซื้อหุ้นคืนหรือขายสินทรัพย์ ซึ่งลดส่วนของผู้ถือหุ้น ทำให้ ROE สูงชั่วคราวแต่ไม่ยั่งยืน
3. ไม่เหมาะเปรียบข้ามอุตสาหกรรม: ธุรกิจต่างกันมีทุนต่างกัน การเทียบตรงๆ อาจทำให้เข้าใจผิด

สรุปคือ ROE เป็นเครื่องมือดี แต่ต้องใช้คู่กับตัวชี้วัดอื่นๆ เพื่อวิเคราะห์บริษัทให้รอบด้าน

### ใช้ ROE เลือกหุ้นอย่างไรในตลาดหลักทรัพย์ไทย?

นักลงทุนไทยสามารถนำ ROE ไปประยุกต์กับหุ้นในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยหรือ SET ได้หลายวิธี โดยปรับให้เข้ากับบริบทท้องถิ่น:

1. ค้นหาบริษัทที่มี ROE สูงและสม่ำเสมอ: เลือกตัวที่ ROE อยู่เหนือ 15-20% ต่อเนื่องหลายปี และดีกว่าค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรม เช่น ธนาคารกสิกรไทยหรือไทยพาณิชย์ ที่ ROE คงที่แต่ไม่พุ่งสูงเท่าบริษัทเทคโนโลยี
2. ตรวจโครงสร้างหนี้ประกอบ: ถ้า ROE สูง ดู D/E Ratio ถ้าสูงกว่า 1 เท่า ต้องศึกษาว่าหนี้ช่วยสร้างกำไรจริงหรือเพิ่มเสี่ยง
3. เช็คการเติบโตของกำไรสุทธิ: ROE ดีต้องมาพร้อมกำไรที่เพิ่มจริง ถ้ากำไรนิ่งแต่ ROE สูง อาจเพราะส่วนของผู้ถือหุ้นลดลง ซึ่งไม่ใช่เรื่องดี
4. รวมกับ PE และ PBV:
* PE Ratio ช่วยดูว่าหุ้นแพงหรือถูก ถ้า ROE สูงแต่ PE ต่ำ อาจเป็นโอกาสซื้อหุ้นดีราคาถูก
* PBV Ratio บอกมูลค่าหุ้นเทียบทุน ถ้า ROE ดีกว่า cost of equity และ PBV เกิน 1 ตลาดมองว่าบริษัทมีค่ามากกว่า
* ตัวอย่างอย่าง PTT หรือ CPALL เป็นหุ้นใหญ่ใน SET ที่ ROE น่าสนใจ ควรดูคู่กับตัวเลขอื่นเพื่อภาพรวม

การใช้ ROE แบบนี้ช่วยให้การเลือกหุ้นในตลาดไทยมีระบบมากขึ้น โดยเฉพาะเมื่อตลาดผันผวนจากปัจจัยเศรษฐกิจภายใน

### ค้นหา ROE ของบริษัทไทยได้ที่ไหน? แหล่งข้อมูลและวิธีใช้งาน

การหาข้อมูล ROE สำหรับบริษัทไทยไม่ยาก โดยเฉพาะหุ้นจดทะเบียนใน SET มีช่องทางสะดวกหลายแห่ง:

1. เว็บไซต์ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย:
* ไปที่ www.set.or.th
* คลิกเมนูข้อมูลบริษัทหรือหุ้น
* พิมพ์ชื่อหรือโค้ดหุ้น
* เข้าดูส่วนข้อมูลทางการเงินหรืออัตราส่วน จะเจอ ROE พร้อมข้อมูลย้อนหลัง SET ยังมีบทเรียนการลงทุนดีๆ ที่ www.set.or.th/th/education-form/4078

2. แอปของโบรกเกอร์:
* โบรกเกอร์ไทยอย่าง SCB Securities, Krungsri Securities หรือ Phillip Securities มีแอปที่แสดง ROE ในส่วนข้อมูลพื้นฐาน
* เปิดแอป ค้นหาหุ้น แล้วดูแท็บ fundamental หรือ financial ratios

3. แพลตฟอร์ม fintech:
* ลอง Finnomena หรือ StockRadars ที่ให้ ROE พร้อมกราฟแนวโน้มและเปรียบเทียบอุตสาหกรรม
* เข้า www.finnomena.com/stock/roe/ หรือแอป ค้นหาหุ้น แล้วระบบจะแสดงข้อมูลวิเคราะห์ครบ

การเข้าถึงข้อมูลแบบนี้ช่วยให้นักลงทุนไทยตัดสินใจได้ทันท่วงที โดยใช้แหล่งที่น่าเชื่อถือเพื่อหลีกเลี่ยงข้อมูลผิดพลาด

### ข้อควรระวังในการใช้ ROE สำหรับนักลงทุนไทย

ROE เป็นเครื่องมือวิเคราะห์ที่แข็งแกร่ง แต่ในบริบทไทย นักลงทุนต้องระวังจุดอ่อนเพื่อไม่ให้พลาด:

1. ระวังหนี้สูง: ROE สูงจากหนี้อาจดูดี แต่ถ้าบริษัทชำระไม่ไหว เสี่ยงล้ม ต้องดู D/E เสมอ
2. อย่าดู ROE ตัวเดียว: ควรรวมกับ net profit margin, ROA, PE, PBV และงบกระแสเงินสด เพื่อภาพใหญ่
3. คำนึงวัฏจักรและอุตสาหกรรม: ในไทย อุตสาหกรรมปิโตรเคมีหรือโภคภัณฑ์ ROE ผันผวนตามราคาน้ำมัน ถ้าต่ำในช่วงลง อาจไม่ใช่ปัญหาใหญ่
4. ระวังกำไรพิเศษ: ถ้า ROE สูงจากขายสินทรัพย์หรือปรับหนี้ อาจไม่ยั่งยืน ต้องแยกกำไรปกติออก
5. เน้นแนวโน้ม: ดูหลายปีดีกว่าปีเดียว ROE ที่สม่ำเสมอหรือขึ้นบอกถึงคุณภาพธุรกิจ
6. สำหรับ IPO: บริษัทใหม่ข้อมูลน้อย ROE อาจไม่พอ ต้องดูแผนธุรกิจและศักยภาพอนาคตให้ละเอียด

การระวังเหล่านี้ช่วยให้นักลงทุนไทยใช้ ROE ได้ปลอดภัย โดยลดความเสี่ยงจากตลาดที่คาดเดายาก

### สรุป: ROE กุญแจสู่การลงทุนอย่างชาญฉลาด

ROE หรือผลตอบแทนผู้ถือหุ้น ยังคงเป็นตัวชี้วัดหลักในการวิเคราะห์หุ้นสำหรับนักลงทุนทุกประเภทในไทย มันช่วยให้เห็นว่าบริษัทใช้ทุนสร้างกำไรสุทธิได้ดีขนาดไหน ซึ่งเป็นกุญแจสำคัญในการหาหุ้นคุณภาพสูงที่มีโอกาสเติบโตใน SET

แต่การลงทุนฉลาดต้องไม่ยึดติด ROE อย่างเดียว ควรวิเคราะห์คู่กับตัวเลขอื่นๆ และปัจจัยคุณภาพของบริษัท เพื่อภาพรวมที่ชัดและลดความเสี่ยง การรู้จักทั้งจุดเด่นและจุดด้อยของ ROE จะทำให้คุณใช้มันได้เต็มประสิทธิภาพ สร้างพอร์ตลงทุนที่มั่นคงในระยะยาว

ROE ควรเป็นเท่าไรถึงจะถือว่าดีสำหรับบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ไทย?

โดยทั่วไป ROE ที่ดีควรอยู่ที่ 15-20% ขึ้นไป และรักษาความสม่ำเสมอได้ในระยะยาว อย่างไรก็ตาม ควรเปรียบเทียบกับค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมเดียวกัน และคู่แข่งในตลาดหุ้นไทย เนื่องจากแต่ละอุตสาหกรรมมีโครงสร้างธุรกิจที่แตกต่างกัน

เราจะหาข้อมูล ROE ของบริษัทในตลาดหุ้นไทยได้จากที่ไหนบ้าง และดูอย่างไร?

คุณสามารถหาข้อมูล ROE ได้จาก:

  • **เว็บไซต์ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET):** เข้าไปที่ www.set.or.th ค้นหาหุ้นที่ต้องการ แล้วดูที่ส่วน “ข้อมูลทางการเงิน” หรือ “อัตราส่วนทางการเงิน”
  • **แอปพลิเคชันของโบรกเกอร์:** โบรกเกอร์ส่วนใหญ่ เช่น SCB Securities, Krungsri Securities จะมีข้อมูล ROE ในส่วนข้อมูลพื้นฐานของหุ้น
  • **แพลตฟอร์ม Fintech:** เช่น Finnomena หรือ StockRadars ซึ่งมักจะแสดงข้อมูลพร้อมกราฟและบทวิเคราะห์ประกอบ

หาก ROE สูงมากแต่บริษัทมีหนี้สินเยอะ ควรแปลความหมายอย่างไร และมีความเสี่ยงอะไรบ้าง?

ROE ที่สูงมากแต่บริษัทมีหนี้สินเยอะ (D/E Ratio สูง) หมายความว่าบริษัทอาจใช้เงินกู้ยืมมาลงทุนเพื่อสร้างผลตอบแทนให้ผู้ถือหุ้น ซึ่งแม้จะทำให้ ROE สูงขึ้น แต่ก็เพิ่มความเสี่ยงทางการเงินอย่างมาก หากบริษัทไม่สามารถทำกำไรได้ตามเป้าหมาย อาจประสบปัญหาในการชำระหนี้ นักลงทุนควรระวังและพิจารณาอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนควบคู่ไปด้วย

ROE ที่ติดลบหมายความว่าอะไร และนักลงทุนไทยควรหลีกเลี่ยงหุ้นที่มี ROE ติดลบหรือไม่?

ROE ที่ติดลบหมายความว่าบริษัทกำลังขาดทุนสุทธิ หรือมีส่วนของผู้ถือหุ้นติดลบ (ส่วนของผู้ถือหุ้นน้อยกว่าศูนย์) ซึ่งเป็นสัญญาณที่ไม่ดีอย่างยิ่ง แสดงถึงการบริหารที่ไม่มีประสิทธิภาพหรือมีปัญหาทางการเงินอย่างรุนแรง โดยทั่วไปแล้ว นักลงทุนไทยควรหลีกเลี่ยงหุ้นที่มี ROE ติดลบ เว้นแต่จะมีความเข้าใจในธุรกิจและเห็นสัญญาณการฟื้นตัวที่ชัดเจนมากๆ

ROE มีผลต่อราคาหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ไทยโดยตรงหรือไม่ และสัมพันธ์กับ PE Ratio อย่างไร?

ROE ไม่มีผลต่อราคาหุ้นโดยตรง แต่เป็นปัจจัยสำคัญที่นักลงทุนใช้พิจารณาซึ่งมีผลต่อความเชื่อมั่นและมูลค่าของหุ้น บริษัทที่มี ROE สูงและสม่ำเสมอ มักจะมีแนวโน้มที่ราคาหุ้นจะปรับตัวสูงขึ้นในระยะยาว เนื่องจากสะท้อนถึงความสามารถในการทำกำไรที่ดี

ส่วนความสัมพันธ์กับ PE Ratio นั้น หุ้นที่มี ROE สูงแต่ PE Ratio ต่ำ อาจบ่งชี้ถึงหุ้นที่ undervalue หรือราคาถูกเกินไป ซึ่งเป็นโอกาสสำหรับนักลงทุนที่มองหาหุ้นคุณภาพดีในราคาที่เหมาะสม อย่างไรก็ตาม ต้องวิเคราะห์ปัจจัยอื่นๆ ประกอบด้วย

นอกจาก ROE แล้ว นักลงทุนไทยควรมองอัตราส่วนทางการเงินใดเพิ่มเติมเพื่อวิเคราะห์หุ้น?

นอกจาก ROE แล้ว นักลงทุนไทยควรมองอัตราส่วนอื่นๆ เพื่อให้การวิเคราะห์ครอบคลุมมากขึ้น เช่น:

  • **ROA (Return on Assets):** วัดประสิทธิภาพการใช้สินทรัพย์โดยรวม
  • **อัตรากำไรสุทธิ (Net Profit Margin):** วัดความสามารถในการทำกำไรจากยอดขาย
  • **อัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E Ratio):** วัดระดับความเสี่ยงทางการเงิน
  • **PE Ratio (Price-to-Earnings Ratio):** วัดความถูกแพงของหุ้น
  • **PBV Ratio (Price-to-Book Value Ratio):** วัดมูลค่าหุ้นเทียบกับมูลค่าทางบัญชี
  • **Current Ratio (อัตราส่วนสภาพคล่อง):** วัดความสามารถในการชำระหนี้ระยะสั้น

ROE ในแต่ละอุตสาหกรรมของไทย เช่น ธนาคาร พลังงาน หรือค้าปลีก แตกต่างกันอย่างไร?

ROE แตกต่างกันไปตามลักษณะของแต่ละอุตสาหกรรม:

  • **อุตสาหกรรมธนาคาร:** มักจะมี ROE ค่อนข้างคงที่ แต่ไม่สูงมากนัก เนื่องจากเป็นธุรกิจที่ต้องใช้เงินทุนจำนวนมากและมีการควบคุมที่เข้มงวด
  • **อุตสาหกรรมพลังงาน/ปิโตรเคมี:** ROE อาจผันผวนสูงตามราคาน้ำมันและวัฏจักรของสินค้าโภคภัณฑ์
  • **อุตสาหกรรมค้าปลีก:** ROE มักจะสะท้อนถึงประสิทธิภาพการบริหารจัดการสินค้าคงคลังและการสร้างยอดขาย ซึ่งอาจมีการแข่งขันสูงและมี ROE ที่หลากหลาย

ดังนั้น การเปรียบเทียบ ROE ควรทำภายในอุตสาหกรรมเดียวกันจะเหมาะสมที่สุด

การเปลี่ยนแปลงของ ROE ในระยะยาวบอกอะไรเกี่ยวกับการดำเนินงานของบริษัทไทย?

การเปลี่ยนแปลงของ ROE ในระยะยาวบ่งบอกถึงแนวโน้มและคุณภาพการดำเนินงานของบริษัท:

  • **ROE เพิ่มขึ้นอย่างสม่ำเสมอ:** แสดงถึงบริษัทมีการเติบโตที่ยั่งยืน การบริหารมีประสิทธิภาพ และสร้างกำไรให้ผู้ถือหุ้นได้ดีขึ้นเรื่อยๆ
  • **ROE ลดลงอย่างต่อเนื่อง:** อาจเป็นสัญญาณว่าบริษัทกำลังมีปัญหาในการสร้างกำไร ประสิทธิภาพการบริหารลดลง หรือมีการแข่งขันที่รุนแรงขึ้น
  • **ROE ผันผวนสูง:** อาจบ่งชี้ถึงธุรกิจที่มีความไม่แน่นอนสูง หรือมีการบริหารจัดการที่ขาดความสม่ำเสมอ

การศึกษาแนวโน้มจึงสำคัญกว่าการดู ROE เพียงปีเดียว

มีข้อจำกัดอะไรบ้างในการใช้ ROE เพื่อประเมินบริษัทที่เพิ่งเข้าตลาดหลักทรัพย์ไทย (IPO)?

สำหรับบริษัท IPO มักมีข้อจำกัดด้านข้อมูลย้อนหลัง ทำให้การใช้ ROE อาจไม่เพียงพอ:

  • **ข้อมูลย้อนหลังจำกัด:** บริษัท IPO มักจะมีข้อมูลทางการเงินไม่กี่ปี ทำให้ไม่สามารถดูแนวโน้ม ROE ในระยะยาวได้
  • **ธุรกิจอยู่ในช่วงเริ่มต้น:** บริษัทอาจยังอยู่ในช่วงลงทุน ทำให้ ROE ยังไม่สะท้อนศักยภาพสูงสุด หรืออาจติดลบในช่วงแรก
  • **การประเมินต้องอาศัยอนาคต:** นักลงทุนต้องพิจารณาแผนธุรกิจ ศักยภาพการเติบโตของอุตสาหกรรม และการบริหารจัดการมากกว่าตัวเลข ROE ในอดีตหรือปัจจุบันเพียงอย่างเดียว

ROE ที่มาจากกำไรพิเศษ หรือการซื้อหุ้นคืน ส่งผลต่อการตัดสินใจลงทุนอย่างไรในมุมมองของนักลงทุนไทย?

ROE ที่สูงขึ้นจากกำไรพิเศษ (เช่น การขายสินทรัพย์) หรือการซื้อหุ้นคืน (ลดส่วนของผู้ถือหุ้น) ควรได้รับการพิจารณาอย่างรอบคอบจากนักลงทุนไทย เพราะ:

  • **กำไรพิเศษไม่ยั่งยืน:** กำไรที่ไม่ได้มาจากธุรกิจหลักอาจไม่เกิดขึ้นซ้ำในอนาคต ทำให้ ROE ที่สูงนั้นไม่สะท้อนความสามารถในการทำกำไรที่แท้จริง
  • **การซื้อหุ้นคืน:** แม้จะทำให้ ROE สูงขึ้น แต่ถ้าบริษัทไม่มีแนวโน้มการเติบโตที่ดี การซื้อหุ้นคืนอาจเป็นเพียงการสร้างภาพลักษณ์ชั่วคราว

นักลงทุนควรดูว่ากำไรสุทธิส่วนใหญ่มาจากกิจกรรมดำเนินงานปกติหรือไม่ และการซื้อหุ้นคืนมีเหตุผลทางธุรกิจที่สมเหตุสมผลหรือไม่

發佈留言

發佈留言必須填寫的電子郵件地址不會公開。 必填欄位標示為 *