ตราสารอนุพันธ์ หมายถึงอะไร? 4 ประเภทหลักที่นักลงทุนต้องรู้ พร้อมประโยชน์และความเสี่ยง

บทนำ: ทำความเข้าใจตราสารอนุพันธ์ (Derivatives) คืออะไร?

ในวงการลงทุนที่เต็มไปด้วยความซับซ้อนและการเปลี่ยนแปลงไม่หยุดนิ่ง นักลงทุนมักค้นหาเครื่องมือที่หลากหลายเพื่อจัดการความเสี่ยง สร้างผลตอบแทน หรือแม้กระทั่งการเก็งกำไร ตราสารอนุพันธ์ถือเป็นหนึ่งในเครื่องมือทางการเงินที่ได้รับความสนใจอย่างมาก โดยเฉพาะในช่วงที่ตลาดมีความผันผวน ตราสารเหล่านี้ไม่ได้เป็นสินทรัพย์จริงโดยตรง แต่เป็นสัญญาทางการเงินที่มูลค่าของมันขึ้นอยู่กับสินทรัพย์อ้างอิงอื่นๆ เช่น หุ้น ดัชนีหุ้น อัตราดอกเบี้ย สกุลเงิน สินค้าโภคภัณฑ์ หรือแม้แต่เครดิต ดังนั้น มูลค่าของตราสารอนุพันธ์จึงเคลื่อนไหวตามการเปลี่ยนแปลงของราคาหรือมูลค่าสินทรัพย์เหล่านั้น

Illustration of a complex financial contract with arrows connecting to various underlying assets like stocks, gold, and currencies representing derivatives

หลักการสำคัญของตราสารอนุพันธ์คือการตกลงซื้อขายสินทรัพย์อ้างอิงในอนาคต โดยกำหนดราคาและเงื่อนไขต่างๆ ไว้ตั้งแต่ตอนทำสัญญา สิ่งนี้ช่วยให้นักลงทุนสามารถคาดเดาและควบคุมความเสี่ยงจากความผันผวนของราคาในเวลาข้างหน้าได้ดีขึ้น อย่างไรก็ตาม ด้วยโครงสร้างสัญญาที่ซับซ้อนและกลไกการทำงานที่ละเอียดอ่อน ตราสารอนุพันธ์จึงนำเสนอทั้งโอกาสในการทำกำไรที่สูงลิ่วและความเสี่ยงที่ตามมาอย่างใกล้ชิด สำหรับนักลงทุนที่อยากก้าวสู่การลงทุนระดับมืออาชีพ การทำความรู้จักพื้นฐาน แนวคิดหลัก และรูปแบบต่างๆ ของตราสารอนุพันธ์จึงเป็นก้าวแรกที่ขาดไม่ได้

ประเภทของตราสารอนุพันธ์ที่พบบ่อย

ตราสารอนุพันธ์มีรูปแบบที่หลากหลาย แต่ละประเภทล้วนมีลักษณะเฉพาะตัวและจุดประสงค์การใช้งานที่แตกต่างกัน การรู้จักประเภทหลักๆ จะช่วยให้นักลงทุนเลือกใช้เครื่องมือเหล่านี้ได้อย่างตรงจุดและมีประสิทธิภาพมากขึ้น

Illustration of four distinct financial symbols representing futures, options, forwards, and swaps with unique characteristics

1. สัญญาซื้อขายล่วงหน้า (Futures Contracts)

สัญญาซื้อขายล่วงหน้า หรือที่เรียกกันว่าฟิวเจอร์ส คือข้อตกลงที่ผู้ซื้อและผู้ขายยอมรับที่จะซื้อหรือขายสินทรัพย์อ้างอิงในปริมาณที่กำหนดไว้ ด้วยราคาที่ตกลงกันในขณะนี้ แต่การส่งมอบและชำระเงินจะเกิดขึ้นในอนาคตตามวันที่ระบุ สัญญาฟิวเจอร์สมีมาตรฐานที่เข้มงวดทั้งในเรื่องขนาดสัญญา วันหมดอายุ และสินทรัพย์อ้างอิง ทำให้สามารถซื้อขายได้อย่างคล่องตัวในตลาดรองที่มีสภาพคล่องดี เช่น ตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้าแห่งประเทศไทย (TFEX) ซึ่งมีระบบวางหลักประกันเพื่อป้องกันความเสี่ยงจากการผิดสัญญา สัญญาเหล่านี้ได้รับความนิยมสำหรับการจัดการความเสี่ยงและการเก็งกำไร โดยเฉพาะในสินค้าโภคภัณฑ์ ดัชนีหุ้น หรืออัตราแลกเปลี่ยน

2. สัญญาออปชั่น (Options Contracts)

สัญญาออปชั่น หรือสิทธิ์ในการซื้อขาย เป็นรูปแบบหนึ่งของตราสารอนุพันธ์ที่มอบสิทธิ์ให้กับผู้ถือสัญญาโดยไม่บังคับให้ต้องปฏิบัติตาม ผู้ซื้อออปชั่นมีสิทธิ์เลือกที่จะซื้อ (Call Option) หรือขาย (Put Option) สินทรัพย์อ้างอิงที่ราคาที่กำหนดล่วงหน้า (Strike Price) ภายในกรอบเวลาหรือวันที่กำหนด โดยต้องชำระค่าพรีเมียมให้กับผู้ขายเพื่อแลกกับสิทธิ์นี้ ในขณะที่ผู้ขายออปชั่นต้องรับผิดชอบหากผู้ซื้อตัดสินใจใช้อสิทธิ์ สัญญาออปชั่นมีความยืดหยุ่นสูง สามารถนำไปใช้ในหลายวัตถุประสงค์ ไม่ว่าจะเป็นการลดความเสี่ยง การเก็งกำไร หรือสร้างกลยุทธ์ที่ซับซ้อนเพื่อเพิ่มผลตอบแทน

3. สัญญาฟอร์เวิร์ด (Forward Contracts)

สัญญาฟอร์เวิร์ดคล้ายกับฟิวเจอร์สในแง่ของการตกลงซื้อขายสินทรัพย์อ้างอิงในอนาคต แต่จุดเด่นคือมักทำขึ้นระหว่างคู่สัญญาโดยตรงในรูปแบบนอกตลาดหลักทรัพย์ (OTC) ทำให้สามารถปรับแต่งรายละเอียดได้ตามต้องการ เช่น ประเภทสินทรัพย์ ปริมาณ วันส่งมอบ หรือราคา เนื่องจากไม่ผ่านตลาดกลาง สัญญาฟอร์เวิร์ดจึงขาดระบบหลักประกันและการปรับมูลค่าตามตลาดแบบรายวัน (Mark-to-Market) ส่งผลให้มีความเสี่ยงจากคู่สัญญาสูงกว่าและสภาพคล่องต่ำกว่า เหมาะสำหรับการจัดการความเสี่ยงที่เฉพาะเจาะจง เช่น การป้องกันความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนในธุรกิจ

4. สัญญาแลกเปลี่ยน (Swaps Contracts)

สัญญาแลกเปลี่ยน หรือสวอปส์ คือข้อตกลงระหว่างคู่สัญญาอย่างน้อยสองฝ่าย เพื่อแลกเปลี่ยนกระแสเงินสดในอนาคตตามเงื่อนไขที่กำหนด โดยอ้างอิงจากสินทรัพย์หรือดัชนีบางอย่าง รูปแบบที่พบมากที่สุดคือสัญญาแลกเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ย ซึ่งแลกเปลี่ยนระหว่างอัตราดอกเบี้ยคงที่กับอัตราลอยตัว หรือสัญญาแลกเปลี่ยนสกุลเงินที่แลกเปลี่ยนกระแสเงินสดระหว่างสกุลเงินต่างๆ สัญญาเหล่านี้มักใช้โดยธนาคารหรือบริษัทขนาดใหญ่เพื่อจัดการความเสี่ยงด้านอัตราดอกเบี้ยหรืออัตราแลกเปลี่ยนในระยะยาว และส่วนใหญ่ทำในรูปแบบ OTC เช่นเดียวกับฟอร์เวิร์ด

ตารางเปรียบเทียบประเภทของตราสารอนุพันธ์

Illustration of a comparison table with icons for futures, options, forwards, and swaps highlighting differences in market and risk
คุณสมบัติ ฟิวเจอร์ส (Futures) ออปชั่น (Options) ฟอร์เวิร์ด (Forwards) สวอปส์ (Swaps)
ลักษณะสัญญา มาตรฐานสูง มาตรฐานสูง ปรับแต่งได้ ปรับแต่งได้
ตลาดซื้อขาย ตลาดหลักทรัพย์ (TFEX) ตลาดหลักทรัพย์ (TFEX) OTC OTC
สิทธิ/ภาระผูกพัน ทั้งสองฝ่ายมีภาระผูกพัน ผู้ซื้อมีสิทธิ, ผู้ขายมีภาระผูกพัน ทั้งสองฝ่ายมีภาระผูกพัน ทั้งสองฝ่ายมีภาระผูกพัน
การวางหลักประกัน มี (Margin System) มี (สำหรับผู้ขาย) ไม่มี ไม่มี
สภาพคล่อง สูง สูง ต่ำ ปานกลางถึงต่ำ
ความเสี่ยงคู่สัญญา ต่ำ (มี Clearing House) ต่ำ (มี Clearing House) สูง สูง
วัตถุประสงค์หลัก ป้องกันความเสี่ยง, เก็งกำไร ป้องกันความเสี่ยง, เก็งกำไร, สร้างกลยุทธ์ ป้องกันความเสี่ยงเฉพาะเจาะจง บริหารความเสี่ยงระยะยาว

ทำไมต้องลงทุนในตราสารอนุพันธ์? ประโยชน์และวัตถุประสงค์

ตราสารอนุพันธ์เป็นเครื่องมือที่ยืดหยุ่นและสามารถตอบโจทย์ความต้องการของนักลงทุนได้หลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นการลดความเสี่ยง การเพิ่มผลตอบแทน หรือการใช้ประโยชน์จากความแตกต่างของราคาในตลาด

1. การป้องกันความเสี่ยง (Hedging)

หนึ่งในจุดประสงค์หลักของตราสารอนุพันธ์คือการช่วยปกป้องจากความผันผวนของราคาในอนาคต นักลงทุนหรือธุรกิจสามารถล็อกราคาซื้อหรือขายสินทรัพย์อ้างอิงไว้ล่วงหน้า เพื่อลดความไม่แน่นอนในต้นทุนหรือรายได้ เช่น เกษตรกรที่ปลูกข้าวโพดอาจขายสัญญาฟิวเจอร์สเพื่อกำหนดราคาขายผลผลิตไว้ล่วงหน้า ป้องกันกรณีที่ราคาตกต่ำในช่วงเก็บเกี่ยว หรือบริษัทนำเข้าที่คาดว่าจะชำระเงินต่างประเทศในอนาคต อาจใช้สัญญาฟอร์เวิร์ดเพื่อล็อกอัตราแลกเปลี่ยน ป้องกันผลกระทบจากค่าเงินบาทที่อ่อนลง การทำเช่นนี้ช่วยให้นักลงทุนวางแผนทางการเงินได้อย่างมั่นใจยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในตลาดไทยที่สินค้าโภคภัณฑ์อย่างยางพาราหรือข้าวมักผันผวนตามปัจจัยโลก

2. การเก็งกำไร (Speculation)

ด้วยคุณสมบัติเลเวอเรจที่ช่วยให้นักลงทุนใช้เงินทุนน้อยควบคุมสินทรัพย์มูลค่าสูงได้ ตราสารอนุพันธ์เปิดโอกาสให้สร้างผลตอบแทนมหาศาลหากคาดการณ์ทิศทางราคาได้ถูกต้อง การเก็งกำไรคือการพนันกับการเปลี่ยนแปลงราคาของสินทรัพย์อ้างอิง โดยเข้าทำสัญญาเพื่อหวังกำไรจากส่วนต่าง เช่น หากเชื่อว่าดัชนี SET50 จะขึ้น นักลงทุนอาจซื้อสัญญา SET50 Index Futures เพื่อรับผลประโยชน์เมื่อดัชนีปรับตัว แต่ต้องระวังว่าความเสี่ยงก็สูงตามไป หากผิดพลาด เลเวอเรจจะทำให้ขาดทุนเพิ่มพูนอย่างรวดเร็ว

3. การทำกำไรจากส่วนต่างราคา (Arbitrage)

การทำกำไรจากส่วนต่างราคาหรือ Arbitrage คือการหาช่องว่างราคาของสินทรัพย์เดียวกันหรือสินค้าที่เกี่ยวข้องในตลาดต่างๆ เพื่อทำกำไรโดยแทบไร้ความเสี่ยง นักลงทุนซื้อในที่ราคาถูกและขายในที่ราคาแพงพร้อมกันเพื่อล็อกกำไรทันที ในตลาดไทย ตลาดอนุพันธ์ก็มีโอกาสเช่นนี้ หากนักลงทุนติดตามข้อมูลตลาดอย่างใกล้ชิดและมีเครื่องมือที่รวดเร็ว เช่น การเปรียบเทียบราคาฟิวเจอร์สกับสินทรัพย์อ้างอิงจริง

นักลงทุนที่สนใจควรชัดเจนกับเป้าหมายของตัวเอง และเลือกสัญญาที่เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ เพื่อให้การลงทุนมีประสิทธิภาพ

ความเสี่ยงที่สำคัญของตราสารอนุพันธ์ที่นักลงทุนไทยควรรู้

ถึงแม้ตราสารอนุพันธ์จะมีประโยชน์มากมาย แต่ความเสี่ยงที่ตามมาก็รุนแรงไม่แพ้กัน นักลงทุนไทยควรศึกษาความเสี่ยงเหล่านี้ให้ละเอียดก่อนลงมือ เพื่อหลีกเลี่ยงการสูญเสียครั้งใหญ่

1. ความเสี่ยงด้านราคา (Price Risk)

ความเสี่ยงจากราคาเป็นพื้นฐานของตราสารอนุพันธ์ เนื่องจากมูลค่าสัญญาขึ้นกับราคาสินทรัพย์อ้างอิง หากราคาเคลื่อนไหวตรงข้ามกับที่คาด นักลงทุนจะขาดทุน เช่น การซื้อฟิวเจอร์สคาดว่าราคาจะขึ้นแต่กลับลง ก็จะเกิดการสูญเสียจากความเปลี่ยนแปลงนั้น

2. ความเสี่ยงด้านเลเวอเรจ (Leverage Risk)

ส่วนใหญ่ตราสารอนุพันธ์ใช้เลเวอเรจสูง ทำให้เงินทุนน้อยควบคุมสินทรัพย์ใหญ่ได้ แต่สิ่งนี้ขยายทั้งกำไรและขาดทุน หากตลาดขยับเพียงเล็กน้อยในทางลบ อาจสูญเสียเงินลงทุนทั้งหมดหรือเกินกว่านั้นอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะสำหรับมือใหม่ที่ควรพิจารณาอย่างจริงจัง

3. ความเสี่ยงด้านสภาพคล่อง (Liquidity Risk)

เกิดขึ้นเมื่อไม่สามารถซื้อหรือขายสัญญาในราคาที่ต้องการ เนื่องจากผู้เข้าร่วมตลาดน้อย สภาพคล่องต่ำอาจบังคับให้รับราคาไม่เป็นธรรมหรือปิดสถานะช้าเกินไป ส่งผลกระทบหนัก โดยเฉพาะในสัญญา OTC หรือตลาดรองที่ไม่คึกคัก

4. ความเสี่ยงคู่สัญญา (Counterparty Risk – especially for Forwards/Swaps)

คือความเสี่ยงที่คู่สัญญาอีกฝ่ายไม่สามารถทำตามข้อตกลงได้ ซึ่งเด่นชัดในฟอร์เวิร์ดและสวอปส์ที่ทำ OTC โดยไม่มีตัวกลางชำระเงิน ในตลาดฟิวเจอร์สและออปชั่นของ TFEX มี Clearing House ช่วยลดความเสี่ยงนี้ แต่สำหรับสัญญากับสถาบันอื่นๆ ต้องตรวจสอบความน่าเชื่อถือของคู่สัญญาให้ดี

5. ความเสี่ยงด้านกฎหมายและระเบียบข้อบังคับ (Legal and Regulatory Risk)

ตราสารอนุพันธ์อยู่ภายใต้กฎระเบียบที่ซับซ้อนและอาจเปลี่ยนแปลงได้ การปรับกฎอาจกระทบมูลค่าสัญญาหรือวิธีซื้อขาย รวมถึงจำกัดนักลงทุนบางกลุ่ม ควรติดตามข้อมูลจากหน่วยงานอย่าง สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เพื่อให้การลงทุนถูกต้องและปลอดภัย

สำหรับนักลงทุนไทย การจัดการความเสี่ยงคือกุญแจสำคัญ เริ่มจากการศึกษาละเอียด กำหนดเงินที่ยอมเสียได้ และใช้กลยุทธ์อย่างมีวินัย เช่น ตั้ง Stop Loss เพื่อควบคุมความเสียหาย

ตลาดตราสารอนุพันธ์ในประเทศไทย: โอกาสและความท้าทาย

ตลาดตราสารอนุพันธ์ในไทยเติบโตอย่างต่อเนื่อง สร้างทางเลือกใหม่ให้นักลงทุนและช่วยธุรกิจจัดการความเสี่ยงได้ดีขึ้น

ตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้าแห่งประเทศไทย หรือ TFEX ก่อตั้งเมื่อปี พ.ศ. 2549 ภายใต้การกำกับของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) และ ก.ล.ต. เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและความหลากหลายในการลงทุน โดยนำเสนอผลิตภัณฑ์อนุพันธ์ที่หลากหลาย

สินทรัพย์อ้างอิงยอดนิยมใน TFEX รวมถึง:

  • ดัชนีหุ้น: เช่น SET50 Index Futures และ SET50 Index Options ที่อ้างอิงบริษัทใหญ่ 50 แห่งในตลาดหลักทรัพย์
  • ทองคำ: Gold Futures และ Gold Online Futures สำหรับซื้อขายทองล่วงหน้าโดยไม่ต้องถือของจริง
  • น้ำมัน: เช่น Brent Crude Oil Futures ที่ติดตามราคาน้ำมันดิบเบรนท์
  • ยางพารา: RSS3 Futures และ TSR20 Futures ซึ่งเป็นสินค้าสำคัญของไทย
  • หุ้นรายตัว: Single Stock Futures สำหรับหุ้นบริษัทจดทะเบียนเฉพาะ
  • อัตราแลกเปลี่ยน: Currency Futures เช่น EUR/THB Futures และ USD/JPY Futures เพื่อรับมือความผันผวนค่าเงิน
  • อัตราดอกเบี้ย: เช่น Interest Rate Futures (ยังไม่แพร่หลาย)

ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) และ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) มีบทบาทสำคัญในการกำกับดูแล SET ถือหุ้นใหญ่ใน TFEX และช่วยพัฒนาโครงสร้างและผลิตภัณฑ์ใหม่ ขณะที่ ก.ล.ต. ออกกฎเพื่อคุ้มครองนักลงทุนและรักษาความโปร่งใส

โอกาส:

  • เพิ่มทางเลือกในการลงทุน: มีเครื่องมือหลากหลายสำหรับสร้างผลตอบแทนในสภาวะตลาดต่างๆ
  • การบริหารความเสี่ยง: ช่วยธุรกิจและนักลงทุนป้องกันความผันผวนราคา
  • การเข้าถึงข้อมูล: TFEX และ SET ให้ความรู้และข้อมูลอย่างต่อเนื่อง

ความท้าทาย:

  • ความซับซ้อน: ต้องมีความรู้ลึกซึ้งในการใช้งาน
  • ความเสี่ยงสูง: เลเวอเรจทำให้ขาดทุนได้มาก
  • การเปลี่ยนแปลงกฎระเบียบ: อาจกระทบการลงทุน

นักลงทุนไทยที่สนใจควรศึกษาจากแหล่งเชื่อถือได้อย่าง TFEX และ ก.ล.ต. และเลือกโบรกเกอร์ที่ได้รับอนุมัติเพื่อความปลอดภัย

ข้อควรพิจารณาก่อนลงทุนในตราสารอนุพันธ์

การลงทุนในตราสารอนุพันธ์ต้องมีการเตรียมตัวอย่างรอบคอบ ไม่ใช่การรีบร้อนเข้าตลาดที่ผันผวน นักลงทุนไทยควรพิจารณาปัจจัยสำคัญเหล่านี้ก่อนเริ่มต้น

1. ความรู้และความเข้าใจที่เพียงพอ

สิ่งที่ขาดไม่ได้คือความรู้ลึกซึ้งเกี่ยวกับตราสารอนุพันธ์ ไม่ใช่แค่ชื่อเรียก แต่รวมถึงกลไกการทำงาน สิทธิและหน้าที่ การคำนวณกำไรขาดทุน หลักประกัน และปัจจัยที่กระทบราคาสินทรัพย์อ้างอิง ควรศึกษาจากแหล่งน่าเชื่อถือ เข้าร่วมอบรม หรือปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ โดยเฉพาะสำหรับมือใหม่ที่อาจเพิ่มตัวอย่างจากตลาดไทยเพื่อให้เข้าใจง่ายขึ้น

2. การประเมินความเสี่ยงที่ยอมรับได้

แต่ละคนมีขีดจำกัดความเสี่ยงต่างกัน ตราสารอนุพันธ์ให้ผลตอบแทนสูงแต่เสี่ยงขาดทุนหนัก โดยเฉพาะจากเลเวอเรจที่อาจล้างพอร์ตได้เร็ว ต้องประเมินสถานะการเงินตัวเองและกำหนดเงินที่เสียได้โดยไม่กระทบชีวิตประจำวัน

3. แผนการลงทุนที่ชัดเจน

ก่อนลงทุนต้องมีแผนที่ชัดเจน รวมถึงเป้าหมาย (เช่น ลดความเสี่ยงหรือเก็งกำไร) กลยุทธ์เข้า-ออก จุดทำกำไรและตัดขาดทุน แผนนี้ช่วยตัดสินใจด้วยเหตุผล ไม่ใช่อารมณ์ โดยเฉพาะในตลาดที่เปลี่ยนแปลงเร็วอย่าง TFEX

4. การจัดการเงินทุนและวินัย

การบริหารเงินทุนคือหัวใจ อย่านำเงินทั้งหมดลงสัญญาเดียวหรือใช้เลเวอเรจเต็มที่ ควรกระจายความเสี่ยงและแบ่งเงินเป็นส่วนๆ วินัยในการยึดแผน เช่น ตัดขาดทุนตามจุดที่กำหนดหรือไม่ไล่ตลาด จะช่วยให้อยู่รอดในระยะยาว

การลงทุนนี้ต้องระมัดระวังและรับผิดชอบสูง เริ่มจากเงินน้อยเพื่อเรียนรู้ก่อนขยายพอร์ต

สรุป: ตราสารอนุพันธ์ เครื่องมือที่ต้องใช้ด้วยความเข้าใจ

ตราสารอนุพันธ์เป็นเครื่องมือทางการเงินที่ทรงพลัง ช่วยจัดการความเสี่ยง สร้างโอกาสกำไร และยกระดับการลงทุน แม้จะซับซ้อนและเสี่ยงสูงจากเลเวอเรจ แต่หากมีองค์ความรู้ที่มั่นคง แผนชัดเจน และวินัยในการจัดการเงิน ก็สามารถนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด

ที่สำคัญคือต้องมองว่าตราสารอนุพันธ์ไม่ใช่ทางลัดร่ำรวย แต่เป็นเครื่องมือที่ต้องการความเข้าใจลึกซึ้ง การเรียนรู้ต่อเนื่อง ติดตามข่าวตลาด และประเมินความเสี่ยงส่วนตัว จะนำไปสู่ความสำเร็จ นักลงทุนที่พร้อมรับมือความท้าทายจะพบว่ามันเป็นส่วนสำคัญในกลยุทธ์การลงทุน

ตราสารอนุพันธ์ เหมาะกับนักลงทุนประเภทไหนในประเทศไทย?

ตราสารอนุพันธ์เหมาะสำหรับนักลงทุนที่มีความรู้ความเข้าใจในตลาดการเงินเป็นอย่างดี สามารถยอมรับความเสี่ยงได้สูง และมีเวลาติดตามข่าวสารและสภาวะตลาดอย่างสม่ำเสมอ ไม่ว่าจะเป็นนักลงทุนที่ต้องการป้องกันความเสี่ยง (Hedging) จากการถือครองสินทรัพย์จริง หรือนักลงทุนที่ต้องการเก็งกำไร (Speculation) จากการเปลี่ยนแปลงของราคาในระยะสั้น อย่างไรก็ตาม ไม่เหมาะสำหรับนักลงทุนมือใหม่ที่ยังไม่มีประสบการณ์ หรือผู้ที่ไม่สามารถรับความเสี่ยงสูงได้

เริ่มต้นลงทุนในตราสารอนุพันธ์ต้องทำอย่างไร? มีขั้นตอนอะไรบ้าง?

สำหรับนักลงทุนไทย การเริ่มต้นลงทุนในตราสารอนุพันธ์มีขั้นตอนหลักๆ ดังนี้:

  1. ศึกษาข้อมูล: ทำความเข้าใจประเภท หลักการทำงาน และความเสี่ยงของตราสารอนุพันธ์แต่ละชนิดอย่างละเอียด
  2. ประเมินความเสี่ยง: ประเมินระดับความเสี่ยงที่ตนเองยอมรับได้และสถานะทางการเงิน
  3. เลือกโบรกเกอร์: เปิดบัญชีซื้อขายตราสารอนุพันธ์กับบริษัทหลักทรัพย์ที่ได้รับอนุญาตจาก ก.ล.ต. และเป็นสมาชิกของ TFEX
  4. วางหลักประกัน: ฝากเงินหลักประกันเริ่มต้น (Initial Margin) เข้าบัญชีซื้อขาย
  5. เริ่มซื้อขาย: ใช้แพลตฟอร์มการซื้อขายของโบรกเกอร์เพื่อส่งคำสั่งซื้อขาย

ควรเริ่มต้นด้วยการลงทุนในจำนวนเงินที่น้อยและเรียนรู้จากประสบการณ์จริง

ความแตกต่างระหว่าง Futures และ Options คืออะไร? ควรเลือกแบบไหน?

ความแตกต่างหลักคือ:

  • Futures (ฟิวเจอร์ส): เป็นสัญญาที่ผู้ซื้อและผู้ขายมีภาระผูกพันในการซื้อหรือขายสินทรัพย์อ้างอิง ณ ราคาและวันที่กำหนด
  • Options (ออปชั่น): เป็นสัญญาที่ให้ “สิทธิ” แก่ผู้ซื้อ (แต่ไม่มีภาระผูกพัน) ในการซื้อหรือขายสินทรัพย์อ้างอิง ณ ราคาและวันที่กำหนด โดยผู้ซื้อต้องจ่ายค่าพรีเมียมให้ผู้ขาย

ควรเลือกแบบไหนขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์และกลยุทธ์:

  • ฟิวเจอร์ส เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเก็งกำไรจากทิศทางราคาที่ชัดเจน หรือป้องกันความเสี่ยงแบบเต็มจำนวน
  • ออปชั่น เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการความยืดหยุ่นสูงในการสร้างกลยุทธ์ จำกัดความเสี่ยงด้านขาดทุนไว้ที่ค่าพรีเมียม (สำหรับผู้ซื้อ) หรือต้องการสร้างรายได้จากค่าพรีเมียม (สำหรับผู้ขาย)

หากขาดทุนจากการลงทุนตราสารอนุพันธ์ จะเกิดอะไรขึ้น?

หากขาดทุนจากการลงทุนตราสารอนุพันธ์ เงินหลักประกันของคุณจะลดลง หากเงินหลักประกันลดลงต่ำกว่าระดับที่กำหนด (Maintenance Margin) คุณจะถูกเรียกให้วางหลักประกันเพิ่ม (Margin Call) หากไม่สามารถวางหลักประกันเพิ่มได้ภายในเวลาที่กำหนด โบรกเกอร์อาจทำการบังคับปิดสถานะ (Forced Sell) ของคุณเพื่อจำกัดความเสียหาย ซึ่งอาจทำให้คุณสูญเสียเงินลงทุนไปทั้งหมด หรือในบางกรณีอาจมากกว่าเงินลงทุนเริ่มต้นได้ หากมีการขาดทุนเกินกว่าหลักประกันที่วางไว้

ตราสารอนุพันธ์มีประโยชน์ในการป้องกันความเสี่ยงอย่างไร? ยกตัวอย่างในตลาดไทยได้ไหม?

ตราสารอนุพันธ์ช่วยป้องกันความเสี่ยงโดยการล็อกราคาซื้อหรือขายสินทรัพย์อ้างอิงในอนาคต

ตัวอย่างในตลาดไทย:

  • ป้องกันความเสี่ยงราคาทองคำ: บริษัทผู้ผลิตอัญมณีที่ต้องซื้อทองคำในอีก 3 เดือนข้างหน้า อาจซื้อ Gold Online Futures เพื่อล็อกราคาซื้อทองคำไว้ล่วงหน้า หากราคาทองคำในตลาดโลกปรับตัวสูงขึ้น บริษัทก็ยังคงได้ทองคำในราคาที่ตกลงไว้
  • ป้องกันความเสี่ยงดัชนีหุ้น: กองทุนรวมที่ถือหุ้นในกลุ่ม SET50 จำนวนมาก และคาดการณ์ว่าตลาดอาจปรับฐานในระยะสั้น อาจขาย SET50 Index Futures เพื่อป้องกันความเสี่ยง หากดัชนี SET50 ลดลง มูลค่าที่ลดลงของพอร์ตหุ้นจะถูกชดเชยด้วยกำไรจากสัญญาฟิวเจอร์ส

มีเครื่องมือหรือแพลตฟอร์มใดบ้างที่นักลงทุนไทยใช้ซื้อขายตราสารอนุพันธ์?

นักลงทุนไทยสามารถซื้อขายตราสารอนุพันธ์ผ่านโบรกเกอร์ที่ได้รับอนุญาตจาก ก.ล.ต. และเป็นสมาชิกของ TFEX แพลตฟอร์มการซื้อขายที่นิยมใช้กันทั่วไป ได้แก่ Streaming (จาก Settrade) ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มมาตรฐานที่โบรกเกอร์ส่วนใหญ่ใช้ นอกจากนี้ บางโบรกเกอร์อาจมีแพลตฟอร์มหรือแอปพลิเคชันเป็นของตนเอง เช่น K-Cyber Trade (กสิกร), Trade Master (หลักทรัพย์บัวหลวง) หรือ E-Finance Thai (eFin Smart Portal) ซึ่งมักจะมีเครื่องมือวิเคราะห์และข้อมูลเพิ่มเติมให้ใช้งาน

การลงทุนในตราสารอนุพันธ์ต้องใช้เงินเยอะไหม?

ไม่จำเป็นต้องใช้เงินเยอะมากเมื่อเทียบกับการลงทุนในหุ้นโดยตรง เนื่องจากตราสารอนุพันธ์มีการใช้เลเวอเรจ นักลงทุนเพียงวางเงินหลักประกัน (Margin) ซึ่งเป็นสัดส่วนเล็กน้อยของมูลค่าสัญญาจริง ทำให้สามารถควบคุมสินทรัพย์อ้างอิงมูลค่าสูงได้ด้วยเงินลงทุนเริ่มต้นที่ค่อนข้างต่ำ อย่างไรก็ตาม แม้เงินเริ่มต้นจะน้อย แต่ความเสี่ยงในการขาดทุนก็สูงตามไปด้วย หากมีการขาดทุนต่อเนื่อง อาจต้องวางหลักประกันเพิ่ม หรือหากไม่วางหลักประกันเพิ่มก็อาจถูกบังคับปิดสถานะ

ข้อควรระวังสำคัญที่สุดสำหรับนักลงทุนมือใหม่ในตลาดอนุพันธ์ไทยคืออะไร?

ข้อควรระวังสำคัญที่สุดสำหรับนักลงทุนมือใหม่คือ ความเสี่ยงจากเลเวอเรจ เลเวอเรจสามารถขยายผลกำไรได้จริง แต่ก็ขยายผลขาดทุนได้เช่นกันอย่างรวดเร็วและรุนแรง นักลงทุนมือใหม่อาจไม่เข้าใจกลไกนี้อย่างถ่องแท้ และอาจสูญเสียเงินลงทุนทั้งหมดได้ภายในเวลาอันสั้นหากตลาดเคลื่อนไหวผิดทิศทางเพียงเล็กน้อย ควรเริ่มต้นด้วยการลงทุนในจำนวนเงินที่น้อยมากๆ และทำความเข้าใจการบริหารจัดการเงินทุนและการตั้งจุดตัดขาดทุนอย่างเคร่งครัด

สามารถหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับตราสารอนุพันธ์จากหน่วยงานใดในประเทศไทยได้บ้าง?

นักลงทุนสามารถหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับตราสารอนุพันธ์จากหน่วยงานที่น่าเชื่อถือในประเทศไทยได้แก่:

  • ตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้าแห่งประเทศไทย (TFEX): เว็บไซต์ www.tfex.co.th มีข้อมูลผลิตภัณฑ์ คู่มือการลงทุน และสัมมนา
  • สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.): เว็บไซต์ www.sec.or.th มีกฎระเบียบ ข่าวสาร และคำเตือนผู้ลงทุน
  • ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET): เว็บไซต์ www.set.or.th มีข้อมูลภาพรวมตลาด และบทความความรู้ด้านการลงทุน
  • บริษัทหลักทรัพย์ (โบรกเกอร์): โบรกเกอร์ส่วนใหญ่จะมีบทวิเคราะห์ บทความ และการจัดอบรมให้ความรู้แก่นักลงทุน

ตราสารอนุพันธ์ผิดกฎหมายไหมในประเทศไทย?

ตราสารอนุพันธ์ไม่ผิดกฎหมายในประเทศไทย แต่เป็นการลงทุนที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) โดยมีตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้าแห่งประเทศไทย (TFEX) เป็นตลาดหลักในการซื้อขาย ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย การซื้อขายตราสารอนุพันธ์ที่ถูกกฎหมายจะต้องทำผ่านบริษัทหลักทรัพย์ที่ได้รับอนุญาตจาก ก.ล.ต. เท่านั้น การซื้อขายผ่านช่องทางที่ไม่เป็นทางการหรือกับบุคคลที่ไม่ได้รับอนุญาต อาจมีความเสี่ยงสูงและไม่ได้รับการคุ้มครองทางกฎหมาย

發佈留言

發佈留言必須填寫的電子郵件地址不會公開。 必填欄位標示為 *