บทนำ: ทำความเข้าใจตราสารอนุพันธ์ (Derivatives) คืออะไร?
ในวงการลงทุนที่เต็มไปด้วยความซับซ้อนและการเปลี่ยนแปลงไม่หยุดนิ่ง นักลงทุนมักค้นหาเครื่องมือที่หลากหลายเพื่อจัดการความเสี่ยง สร้างผลตอบแทน หรือแม้กระทั่งการเก็งกำไร ตราสารอนุพันธ์ถือเป็นหนึ่งในเครื่องมือทางการเงินที่ได้รับความสนใจอย่างมาก โดยเฉพาะในช่วงที่ตลาดมีความผันผวน ตราสารเหล่านี้ไม่ได้เป็นสินทรัพย์จริงโดยตรง แต่เป็นสัญญาทางการเงินที่มูลค่าของมันขึ้นอยู่กับสินทรัพย์อ้างอิงอื่นๆ เช่น หุ้น ดัชนีหุ้น อัตราดอกเบี้ย สกุลเงิน สินค้าโภคภัณฑ์ หรือแม้แต่เครดิต ดังนั้น มูลค่าของตราสารอนุพันธ์จึงเคลื่อนไหวตามการเปลี่ยนแปลงของราคาหรือมูลค่าสินทรัพย์เหล่านั้น

หลักการสำคัญของตราสารอนุพันธ์คือการตกลงซื้อขายสินทรัพย์อ้างอิงในอนาคต โดยกำหนดราคาและเงื่อนไขต่างๆ ไว้ตั้งแต่ตอนทำสัญญา สิ่งนี้ช่วยให้นักลงทุนสามารถคาดเดาและควบคุมความเสี่ยงจากความผันผวนของราคาในเวลาข้างหน้าได้ดีขึ้น อย่างไรก็ตาม ด้วยโครงสร้างสัญญาที่ซับซ้อนและกลไกการทำงานที่ละเอียดอ่อน ตราสารอนุพันธ์จึงนำเสนอทั้งโอกาสในการทำกำไรที่สูงลิ่วและความเสี่ยงที่ตามมาอย่างใกล้ชิด สำหรับนักลงทุนที่อยากก้าวสู่การลงทุนระดับมืออาชีพ การทำความรู้จักพื้นฐาน แนวคิดหลัก และรูปแบบต่างๆ ของตราสารอนุพันธ์จึงเป็นก้าวแรกที่ขาดไม่ได้
ประเภทของตราสารอนุพันธ์ที่พบบ่อย
ตราสารอนุพันธ์มีรูปแบบที่หลากหลาย แต่ละประเภทล้วนมีลักษณะเฉพาะตัวและจุดประสงค์การใช้งานที่แตกต่างกัน การรู้จักประเภทหลักๆ จะช่วยให้นักลงทุนเลือกใช้เครื่องมือเหล่านี้ได้อย่างตรงจุดและมีประสิทธิภาพมากขึ้น

1. สัญญาซื้อขายล่วงหน้า (Futures Contracts)
สัญญาซื้อขายล่วงหน้า หรือที่เรียกกันว่าฟิวเจอร์ส คือข้อตกลงที่ผู้ซื้อและผู้ขายยอมรับที่จะซื้อหรือขายสินทรัพย์อ้างอิงในปริมาณที่กำหนดไว้ ด้วยราคาที่ตกลงกันในขณะนี้ แต่การส่งมอบและชำระเงินจะเกิดขึ้นในอนาคตตามวันที่ระบุ สัญญาฟิวเจอร์สมีมาตรฐานที่เข้มงวดทั้งในเรื่องขนาดสัญญา วันหมดอายุ และสินทรัพย์อ้างอิง ทำให้สามารถซื้อขายได้อย่างคล่องตัวในตลาดรองที่มีสภาพคล่องดี เช่น ตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้าแห่งประเทศไทย (TFEX) ซึ่งมีระบบวางหลักประกันเพื่อป้องกันความเสี่ยงจากการผิดสัญญา สัญญาเหล่านี้ได้รับความนิยมสำหรับการจัดการความเสี่ยงและการเก็งกำไร โดยเฉพาะในสินค้าโภคภัณฑ์ ดัชนีหุ้น หรืออัตราแลกเปลี่ยน
2. สัญญาออปชั่น (Options Contracts)
สัญญาออปชั่น หรือสิทธิ์ในการซื้อขาย เป็นรูปแบบหนึ่งของตราสารอนุพันธ์ที่มอบสิทธิ์ให้กับผู้ถือสัญญาโดยไม่บังคับให้ต้องปฏิบัติตาม ผู้ซื้อออปชั่นมีสิทธิ์เลือกที่จะซื้อ (Call Option) หรือขาย (Put Option) สินทรัพย์อ้างอิงที่ราคาที่กำหนดล่วงหน้า (Strike Price) ภายในกรอบเวลาหรือวันที่กำหนด โดยต้องชำระค่าพรีเมียมให้กับผู้ขายเพื่อแลกกับสิทธิ์นี้ ในขณะที่ผู้ขายออปชั่นต้องรับผิดชอบหากผู้ซื้อตัดสินใจใช้อสิทธิ์ สัญญาออปชั่นมีความยืดหยุ่นสูง สามารถนำไปใช้ในหลายวัตถุประสงค์ ไม่ว่าจะเป็นการลดความเสี่ยง การเก็งกำไร หรือสร้างกลยุทธ์ที่ซับซ้อนเพื่อเพิ่มผลตอบแทน
3. สัญญาฟอร์เวิร์ด (Forward Contracts)
สัญญาฟอร์เวิร์ดคล้ายกับฟิวเจอร์สในแง่ของการตกลงซื้อขายสินทรัพย์อ้างอิงในอนาคต แต่จุดเด่นคือมักทำขึ้นระหว่างคู่สัญญาโดยตรงในรูปแบบนอกตลาดหลักทรัพย์ (OTC) ทำให้สามารถปรับแต่งรายละเอียดได้ตามต้องการ เช่น ประเภทสินทรัพย์ ปริมาณ วันส่งมอบ หรือราคา เนื่องจากไม่ผ่านตลาดกลาง สัญญาฟอร์เวิร์ดจึงขาดระบบหลักประกันและการปรับมูลค่าตามตลาดแบบรายวัน (Mark-to-Market) ส่งผลให้มีความเสี่ยงจากคู่สัญญาสูงกว่าและสภาพคล่องต่ำกว่า เหมาะสำหรับการจัดการความเสี่ยงที่เฉพาะเจาะจง เช่น การป้องกันความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนในธุรกิจ
4. สัญญาแลกเปลี่ยน (Swaps Contracts)
สัญญาแลกเปลี่ยน หรือสวอปส์ คือข้อตกลงระหว่างคู่สัญญาอย่างน้อยสองฝ่าย เพื่อแลกเปลี่ยนกระแสเงินสดในอนาคตตามเงื่อนไขที่กำหนด โดยอ้างอิงจากสินทรัพย์หรือดัชนีบางอย่าง รูปแบบที่พบมากที่สุดคือสัญญาแลกเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ย ซึ่งแลกเปลี่ยนระหว่างอัตราดอกเบี้ยคงที่กับอัตราลอยตัว หรือสัญญาแลกเปลี่ยนสกุลเงินที่แลกเปลี่ยนกระแสเงินสดระหว่างสกุลเงินต่างๆ สัญญาเหล่านี้มักใช้โดยธนาคารหรือบริษัทขนาดใหญ่เพื่อจัดการความเสี่ยงด้านอัตราดอกเบี้ยหรืออัตราแลกเปลี่ยนในระยะยาว และส่วนใหญ่ทำในรูปแบบ OTC เช่นเดียวกับฟอร์เวิร์ด
ตารางเปรียบเทียบประเภทของตราสารอนุพันธ์

คุณสมบัติ | ฟิวเจอร์ส (Futures) | ออปชั่น (Options) | ฟอร์เวิร์ด (Forwards) | สวอปส์ (Swaps) |
---|---|---|---|---|
ลักษณะสัญญา | มาตรฐานสูง | มาตรฐานสูง | ปรับแต่งได้ | ปรับแต่งได้ |
ตลาดซื้อขาย | ตลาดหลักทรัพย์ (TFEX) | ตลาดหลักทรัพย์ (TFEX) | OTC | OTC |
สิทธิ/ภาระผูกพัน | ทั้งสองฝ่ายมีภาระผูกพัน | ผู้ซื้อมีสิทธิ, ผู้ขายมีภาระผูกพัน | ทั้งสองฝ่ายมีภาระผูกพัน | ทั้งสองฝ่ายมีภาระผูกพัน |
การวางหลักประกัน | มี (Margin System) | มี (สำหรับผู้ขาย) | ไม่มี | ไม่มี |
สภาพคล่อง | สูง | สูง | ต่ำ | ปานกลางถึงต่ำ |
ความเสี่ยงคู่สัญญา | ต่ำ (มี Clearing House) | ต่ำ (มี Clearing House) | สูง | สูง |
วัตถุประสงค์หลัก | ป้องกันความเสี่ยง, เก็งกำไร | ป้องกันความเสี่ยง, เก็งกำไร, สร้างกลยุทธ์ | ป้องกันความเสี่ยงเฉพาะเจาะจง | บริหารความเสี่ยงระยะยาว |
ทำไมต้องลงทุนในตราสารอนุพันธ์? ประโยชน์และวัตถุประสงค์
ตราสารอนุพันธ์เป็นเครื่องมือที่ยืดหยุ่นและสามารถตอบโจทย์ความต้องการของนักลงทุนได้หลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นการลดความเสี่ยง การเพิ่มผลตอบแทน หรือการใช้ประโยชน์จากความแตกต่างของราคาในตลาด
1. การป้องกันความเสี่ยง (Hedging)
หนึ่งในจุดประสงค์หลักของตราสารอนุพันธ์คือการช่วยปกป้องจากความผันผวนของราคาในอนาคต นักลงทุนหรือธุรกิจสามารถล็อกราคาซื้อหรือขายสินทรัพย์อ้างอิงไว้ล่วงหน้า เพื่อลดความไม่แน่นอนในต้นทุนหรือรายได้ เช่น เกษตรกรที่ปลูกข้าวโพดอาจขายสัญญาฟิวเจอร์สเพื่อกำหนดราคาขายผลผลิตไว้ล่วงหน้า ป้องกันกรณีที่ราคาตกต่ำในช่วงเก็บเกี่ยว หรือบริษัทนำเข้าที่คาดว่าจะชำระเงินต่างประเทศในอนาคต อาจใช้สัญญาฟอร์เวิร์ดเพื่อล็อกอัตราแลกเปลี่ยน ป้องกันผลกระทบจากค่าเงินบาทที่อ่อนลง การทำเช่นนี้ช่วยให้นักลงทุนวางแผนทางการเงินได้อย่างมั่นใจยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในตลาดไทยที่สินค้าโภคภัณฑ์อย่างยางพาราหรือข้าวมักผันผวนตามปัจจัยโลก
2. การเก็งกำไร (Speculation)
ด้วยคุณสมบัติเลเวอเรจที่ช่วยให้นักลงทุนใช้เงินทุนน้อยควบคุมสินทรัพย์มูลค่าสูงได้ ตราสารอนุพันธ์เปิดโอกาสให้สร้างผลตอบแทนมหาศาลหากคาดการณ์ทิศทางราคาได้ถูกต้อง การเก็งกำไรคือการพนันกับการเปลี่ยนแปลงราคาของสินทรัพย์อ้างอิง โดยเข้าทำสัญญาเพื่อหวังกำไรจากส่วนต่าง เช่น หากเชื่อว่าดัชนี SET50 จะขึ้น นักลงทุนอาจซื้อสัญญา SET50 Index Futures เพื่อรับผลประโยชน์เมื่อดัชนีปรับตัว แต่ต้องระวังว่าความเสี่ยงก็สูงตามไป หากผิดพลาด เลเวอเรจจะทำให้ขาดทุนเพิ่มพูนอย่างรวดเร็ว
3. การทำกำไรจากส่วนต่างราคา (Arbitrage)
การทำกำไรจากส่วนต่างราคาหรือ Arbitrage คือการหาช่องว่างราคาของสินทรัพย์เดียวกันหรือสินค้าที่เกี่ยวข้องในตลาดต่างๆ เพื่อทำกำไรโดยแทบไร้ความเสี่ยง นักลงทุนซื้อในที่ราคาถูกและขายในที่ราคาแพงพร้อมกันเพื่อล็อกกำไรทันที ในตลาดไทย ตลาดอนุพันธ์ก็มีโอกาสเช่นนี้ หากนักลงทุนติดตามข้อมูลตลาดอย่างใกล้ชิดและมีเครื่องมือที่รวดเร็ว เช่น การเปรียบเทียบราคาฟิวเจอร์สกับสินทรัพย์อ้างอิงจริง
นักลงทุนที่สนใจควรชัดเจนกับเป้าหมายของตัวเอง และเลือกสัญญาที่เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ เพื่อให้การลงทุนมีประสิทธิภาพ
ความเสี่ยงที่สำคัญของตราสารอนุพันธ์ที่นักลงทุนไทยควรรู้
ถึงแม้ตราสารอนุพันธ์จะมีประโยชน์มากมาย แต่ความเสี่ยงที่ตามมาก็รุนแรงไม่แพ้กัน นักลงทุนไทยควรศึกษาความเสี่ยงเหล่านี้ให้ละเอียดก่อนลงมือ เพื่อหลีกเลี่ยงการสูญเสียครั้งใหญ่
1. ความเสี่ยงด้านราคา (Price Risk)
ความเสี่ยงจากราคาเป็นพื้นฐานของตราสารอนุพันธ์ เนื่องจากมูลค่าสัญญาขึ้นกับราคาสินทรัพย์อ้างอิง หากราคาเคลื่อนไหวตรงข้ามกับที่คาด นักลงทุนจะขาดทุน เช่น การซื้อฟิวเจอร์สคาดว่าราคาจะขึ้นแต่กลับลง ก็จะเกิดการสูญเสียจากความเปลี่ยนแปลงนั้น
2. ความเสี่ยงด้านเลเวอเรจ (Leverage Risk)
ส่วนใหญ่ตราสารอนุพันธ์ใช้เลเวอเรจสูง ทำให้เงินทุนน้อยควบคุมสินทรัพย์ใหญ่ได้ แต่สิ่งนี้ขยายทั้งกำไรและขาดทุน หากตลาดขยับเพียงเล็กน้อยในทางลบ อาจสูญเสียเงินลงทุนทั้งหมดหรือเกินกว่านั้นอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะสำหรับมือใหม่ที่ควรพิจารณาอย่างจริงจัง
3. ความเสี่ยงด้านสภาพคล่อง (Liquidity Risk)
เกิดขึ้นเมื่อไม่สามารถซื้อหรือขายสัญญาในราคาที่ต้องการ เนื่องจากผู้เข้าร่วมตลาดน้อย สภาพคล่องต่ำอาจบังคับให้รับราคาไม่เป็นธรรมหรือปิดสถานะช้าเกินไป ส่งผลกระทบหนัก โดยเฉพาะในสัญญา OTC หรือตลาดรองที่ไม่คึกคัก
4. ความเสี่ยงคู่สัญญา (Counterparty Risk – especially for Forwards/Swaps)
คือความเสี่ยงที่คู่สัญญาอีกฝ่ายไม่สามารถทำตามข้อตกลงได้ ซึ่งเด่นชัดในฟอร์เวิร์ดและสวอปส์ที่ทำ OTC โดยไม่มีตัวกลางชำระเงิน ในตลาดฟิวเจอร์สและออปชั่นของ TFEX มี Clearing House ช่วยลดความเสี่ยงนี้ แต่สำหรับสัญญากับสถาบันอื่นๆ ต้องตรวจสอบความน่าเชื่อถือของคู่สัญญาให้ดี
5. ความเสี่ยงด้านกฎหมายและระเบียบข้อบังคับ (Legal and Regulatory Risk)
ตราสารอนุพันธ์อยู่ภายใต้กฎระเบียบที่ซับซ้อนและอาจเปลี่ยนแปลงได้ การปรับกฎอาจกระทบมูลค่าสัญญาหรือวิธีซื้อขาย รวมถึงจำกัดนักลงทุนบางกลุ่ม ควรติดตามข้อมูลจากหน่วยงานอย่าง สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เพื่อให้การลงทุนถูกต้องและปลอดภัย
สำหรับนักลงทุนไทย การจัดการความเสี่ยงคือกุญแจสำคัญ เริ่มจากการศึกษาละเอียด กำหนดเงินที่ยอมเสียได้ และใช้กลยุทธ์อย่างมีวินัย เช่น ตั้ง Stop Loss เพื่อควบคุมความเสียหาย
ตลาดตราสารอนุพันธ์ในประเทศไทย: โอกาสและความท้าทาย
ตลาดตราสารอนุพันธ์ในไทยเติบโตอย่างต่อเนื่อง สร้างทางเลือกใหม่ให้นักลงทุนและช่วยธุรกิจจัดการความเสี่ยงได้ดีขึ้น
ตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้าแห่งประเทศไทย หรือ TFEX ก่อตั้งเมื่อปี พ.ศ. 2549 ภายใต้การกำกับของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) และ ก.ล.ต. เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและความหลากหลายในการลงทุน โดยนำเสนอผลิตภัณฑ์อนุพันธ์ที่หลากหลาย
สินทรัพย์อ้างอิงยอดนิยมใน TFEX รวมถึง:
- ดัชนีหุ้น: เช่น SET50 Index Futures และ SET50 Index Options ที่อ้างอิงบริษัทใหญ่ 50 แห่งในตลาดหลักทรัพย์
- ทองคำ: Gold Futures และ Gold Online Futures สำหรับซื้อขายทองล่วงหน้าโดยไม่ต้องถือของจริง
- น้ำมัน: เช่น Brent Crude Oil Futures ที่ติดตามราคาน้ำมันดิบเบรนท์
- ยางพารา: RSS3 Futures และ TSR20 Futures ซึ่งเป็นสินค้าสำคัญของไทย
- หุ้นรายตัว: Single Stock Futures สำหรับหุ้นบริษัทจดทะเบียนเฉพาะ
- อัตราแลกเปลี่ยน: Currency Futures เช่น EUR/THB Futures และ USD/JPY Futures เพื่อรับมือความผันผวนค่าเงิน
- อัตราดอกเบี้ย: เช่น Interest Rate Futures (ยังไม่แพร่หลาย)
ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) และ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) มีบทบาทสำคัญในการกำกับดูแล SET ถือหุ้นใหญ่ใน TFEX และช่วยพัฒนาโครงสร้างและผลิตภัณฑ์ใหม่ ขณะที่ ก.ล.ต. ออกกฎเพื่อคุ้มครองนักลงทุนและรักษาความโปร่งใส
โอกาส:
- เพิ่มทางเลือกในการลงทุน: มีเครื่องมือหลากหลายสำหรับสร้างผลตอบแทนในสภาวะตลาดต่างๆ
- การบริหารความเสี่ยง: ช่วยธุรกิจและนักลงทุนป้องกันความผันผวนราคา
- การเข้าถึงข้อมูล: TFEX และ SET ให้ความรู้และข้อมูลอย่างต่อเนื่อง
ความท้าทาย:
- ความซับซ้อน: ต้องมีความรู้ลึกซึ้งในการใช้งาน
- ความเสี่ยงสูง: เลเวอเรจทำให้ขาดทุนได้มาก
- การเปลี่ยนแปลงกฎระเบียบ: อาจกระทบการลงทุน
นักลงทุนไทยที่สนใจควรศึกษาจากแหล่งเชื่อถือได้อย่าง TFEX และ ก.ล.ต. และเลือกโบรกเกอร์ที่ได้รับอนุมัติเพื่อความปลอดภัย
ข้อควรพิจารณาก่อนลงทุนในตราสารอนุพันธ์
การลงทุนในตราสารอนุพันธ์ต้องมีการเตรียมตัวอย่างรอบคอบ ไม่ใช่การรีบร้อนเข้าตลาดที่ผันผวน นักลงทุนไทยควรพิจารณาปัจจัยสำคัญเหล่านี้ก่อนเริ่มต้น
1. ความรู้และความเข้าใจที่เพียงพอ
สิ่งที่ขาดไม่ได้คือความรู้ลึกซึ้งเกี่ยวกับตราสารอนุพันธ์ ไม่ใช่แค่ชื่อเรียก แต่รวมถึงกลไกการทำงาน สิทธิและหน้าที่ การคำนวณกำไรขาดทุน หลักประกัน และปัจจัยที่กระทบราคาสินทรัพย์อ้างอิง ควรศึกษาจากแหล่งน่าเชื่อถือ เข้าร่วมอบรม หรือปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ โดยเฉพาะสำหรับมือใหม่ที่อาจเพิ่มตัวอย่างจากตลาดไทยเพื่อให้เข้าใจง่ายขึ้น
2. การประเมินความเสี่ยงที่ยอมรับได้
แต่ละคนมีขีดจำกัดความเสี่ยงต่างกัน ตราสารอนุพันธ์ให้ผลตอบแทนสูงแต่เสี่ยงขาดทุนหนัก โดยเฉพาะจากเลเวอเรจที่อาจล้างพอร์ตได้เร็ว ต้องประเมินสถานะการเงินตัวเองและกำหนดเงินที่เสียได้โดยไม่กระทบชีวิตประจำวัน
3. แผนการลงทุนที่ชัดเจน
ก่อนลงทุนต้องมีแผนที่ชัดเจน รวมถึงเป้าหมาย (เช่น ลดความเสี่ยงหรือเก็งกำไร) กลยุทธ์เข้า-ออก จุดทำกำไรและตัดขาดทุน แผนนี้ช่วยตัดสินใจด้วยเหตุผล ไม่ใช่อารมณ์ โดยเฉพาะในตลาดที่เปลี่ยนแปลงเร็วอย่าง TFEX
4. การจัดการเงินทุนและวินัย
การบริหารเงินทุนคือหัวใจ อย่านำเงินทั้งหมดลงสัญญาเดียวหรือใช้เลเวอเรจเต็มที่ ควรกระจายความเสี่ยงและแบ่งเงินเป็นส่วนๆ วินัยในการยึดแผน เช่น ตัดขาดทุนตามจุดที่กำหนดหรือไม่ไล่ตลาด จะช่วยให้อยู่รอดในระยะยาว
การลงทุนนี้ต้องระมัดระวังและรับผิดชอบสูง เริ่มจากเงินน้อยเพื่อเรียนรู้ก่อนขยายพอร์ต
สรุป: ตราสารอนุพันธ์ เครื่องมือที่ต้องใช้ด้วยความเข้าใจ
ตราสารอนุพันธ์เป็นเครื่องมือทางการเงินที่ทรงพลัง ช่วยจัดการความเสี่ยง สร้างโอกาสกำไร และยกระดับการลงทุน แม้จะซับซ้อนและเสี่ยงสูงจากเลเวอเรจ แต่หากมีองค์ความรู้ที่มั่นคง แผนชัดเจน และวินัยในการจัดการเงิน ก็สามารถนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด
ที่สำคัญคือต้องมองว่าตราสารอนุพันธ์ไม่ใช่ทางลัดร่ำรวย แต่เป็นเครื่องมือที่ต้องการความเข้าใจลึกซึ้ง การเรียนรู้ต่อเนื่อง ติดตามข่าวตลาด และประเมินความเสี่ยงส่วนตัว จะนำไปสู่ความสำเร็จ นักลงทุนที่พร้อมรับมือความท้าทายจะพบว่ามันเป็นส่วนสำคัญในกลยุทธ์การลงทุน
ตราสารอนุพันธ์ เหมาะกับนักลงทุนประเภทไหนในประเทศไทย?
ตราสารอนุพันธ์เหมาะสำหรับนักลงทุนที่มีความรู้ความเข้าใจในตลาดการเงินเป็นอย่างดี สามารถยอมรับความเสี่ยงได้สูง และมีเวลาติดตามข่าวสารและสภาวะตลาดอย่างสม่ำเสมอ ไม่ว่าจะเป็นนักลงทุนที่ต้องการป้องกันความเสี่ยง (Hedging) จากการถือครองสินทรัพย์จริง หรือนักลงทุนที่ต้องการเก็งกำไร (Speculation) จากการเปลี่ยนแปลงของราคาในระยะสั้น อย่างไรก็ตาม ไม่เหมาะสำหรับนักลงทุนมือใหม่ที่ยังไม่มีประสบการณ์ หรือผู้ที่ไม่สามารถรับความเสี่ยงสูงได้
เริ่มต้นลงทุนในตราสารอนุพันธ์ต้องทำอย่างไร? มีขั้นตอนอะไรบ้าง?
สำหรับนักลงทุนไทย การเริ่มต้นลงทุนในตราสารอนุพันธ์มีขั้นตอนหลักๆ ดังนี้:
- ศึกษาข้อมูล: ทำความเข้าใจประเภท หลักการทำงาน และความเสี่ยงของตราสารอนุพันธ์แต่ละชนิดอย่างละเอียด
- ประเมินความเสี่ยง: ประเมินระดับความเสี่ยงที่ตนเองยอมรับได้และสถานะทางการเงิน
- เลือกโบรกเกอร์: เปิดบัญชีซื้อขายตราสารอนุพันธ์กับบริษัทหลักทรัพย์ที่ได้รับอนุญาตจาก ก.ล.ต. และเป็นสมาชิกของ TFEX
- วางหลักประกัน: ฝากเงินหลักประกันเริ่มต้น (Initial Margin) เข้าบัญชีซื้อขาย
- เริ่มซื้อขาย: ใช้แพลตฟอร์มการซื้อขายของโบรกเกอร์เพื่อส่งคำสั่งซื้อขาย
ควรเริ่มต้นด้วยการลงทุนในจำนวนเงินที่น้อยและเรียนรู้จากประสบการณ์จริง
ความแตกต่างระหว่าง Futures และ Options คืออะไร? ควรเลือกแบบไหน?
ความแตกต่างหลักคือ:
- Futures (ฟิวเจอร์ส): เป็นสัญญาที่ผู้ซื้อและผู้ขายมีภาระผูกพันในการซื้อหรือขายสินทรัพย์อ้างอิง ณ ราคาและวันที่กำหนด
- Options (ออปชั่น): เป็นสัญญาที่ให้ “สิทธิ” แก่ผู้ซื้อ (แต่ไม่มีภาระผูกพัน) ในการซื้อหรือขายสินทรัพย์อ้างอิง ณ ราคาและวันที่กำหนด โดยผู้ซื้อต้องจ่ายค่าพรีเมียมให้ผู้ขาย
ควรเลือกแบบไหนขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์และกลยุทธ์:
- ฟิวเจอร์ส เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเก็งกำไรจากทิศทางราคาที่ชัดเจน หรือป้องกันความเสี่ยงแบบเต็มจำนวน
- ออปชั่น เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการความยืดหยุ่นสูงในการสร้างกลยุทธ์ จำกัดความเสี่ยงด้านขาดทุนไว้ที่ค่าพรีเมียม (สำหรับผู้ซื้อ) หรือต้องการสร้างรายได้จากค่าพรีเมียม (สำหรับผู้ขาย)
หากขาดทุนจากการลงทุนตราสารอนุพันธ์ จะเกิดอะไรขึ้น?
หากขาดทุนจากการลงทุนตราสารอนุพันธ์ เงินหลักประกันของคุณจะลดลง หากเงินหลักประกันลดลงต่ำกว่าระดับที่กำหนด (Maintenance Margin) คุณจะถูกเรียกให้วางหลักประกันเพิ่ม (Margin Call) หากไม่สามารถวางหลักประกันเพิ่มได้ภายในเวลาที่กำหนด โบรกเกอร์อาจทำการบังคับปิดสถานะ (Forced Sell) ของคุณเพื่อจำกัดความเสียหาย ซึ่งอาจทำให้คุณสูญเสียเงินลงทุนไปทั้งหมด หรือในบางกรณีอาจมากกว่าเงินลงทุนเริ่มต้นได้ หากมีการขาดทุนเกินกว่าหลักประกันที่วางไว้
ตราสารอนุพันธ์มีประโยชน์ในการป้องกันความเสี่ยงอย่างไร? ยกตัวอย่างในตลาดไทยได้ไหม?
ตราสารอนุพันธ์ช่วยป้องกันความเสี่ยงโดยการล็อกราคาซื้อหรือขายสินทรัพย์อ้างอิงในอนาคต
ตัวอย่างในตลาดไทย:
- ป้องกันความเสี่ยงราคาทองคำ: บริษัทผู้ผลิตอัญมณีที่ต้องซื้อทองคำในอีก 3 เดือนข้างหน้า อาจซื้อ Gold Online Futures เพื่อล็อกราคาซื้อทองคำไว้ล่วงหน้า หากราคาทองคำในตลาดโลกปรับตัวสูงขึ้น บริษัทก็ยังคงได้ทองคำในราคาที่ตกลงไว้
- ป้องกันความเสี่ยงดัชนีหุ้น: กองทุนรวมที่ถือหุ้นในกลุ่ม SET50 จำนวนมาก และคาดการณ์ว่าตลาดอาจปรับฐานในระยะสั้น อาจขาย SET50 Index Futures เพื่อป้องกันความเสี่ยง หากดัชนี SET50 ลดลง มูลค่าที่ลดลงของพอร์ตหุ้นจะถูกชดเชยด้วยกำไรจากสัญญาฟิวเจอร์ส
มีเครื่องมือหรือแพลตฟอร์มใดบ้างที่นักลงทุนไทยใช้ซื้อขายตราสารอนุพันธ์?
นักลงทุนไทยสามารถซื้อขายตราสารอนุพันธ์ผ่านโบรกเกอร์ที่ได้รับอนุญาตจาก ก.ล.ต. และเป็นสมาชิกของ TFEX แพลตฟอร์มการซื้อขายที่นิยมใช้กันทั่วไป ได้แก่ Streaming (จาก Settrade) ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มมาตรฐานที่โบรกเกอร์ส่วนใหญ่ใช้ นอกจากนี้ บางโบรกเกอร์อาจมีแพลตฟอร์มหรือแอปพลิเคชันเป็นของตนเอง เช่น K-Cyber Trade (กสิกร), Trade Master (หลักทรัพย์บัวหลวง) หรือ E-Finance Thai (eFin Smart Portal) ซึ่งมักจะมีเครื่องมือวิเคราะห์และข้อมูลเพิ่มเติมให้ใช้งาน
การลงทุนในตราสารอนุพันธ์ต้องใช้เงินเยอะไหม?
ไม่จำเป็นต้องใช้เงินเยอะมากเมื่อเทียบกับการลงทุนในหุ้นโดยตรง เนื่องจากตราสารอนุพันธ์มีการใช้เลเวอเรจ นักลงทุนเพียงวางเงินหลักประกัน (Margin) ซึ่งเป็นสัดส่วนเล็กน้อยของมูลค่าสัญญาจริง ทำให้สามารถควบคุมสินทรัพย์อ้างอิงมูลค่าสูงได้ด้วยเงินลงทุนเริ่มต้นที่ค่อนข้างต่ำ อย่างไรก็ตาม แม้เงินเริ่มต้นจะน้อย แต่ความเสี่ยงในการขาดทุนก็สูงตามไปด้วย หากมีการขาดทุนต่อเนื่อง อาจต้องวางหลักประกันเพิ่ม หรือหากไม่วางหลักประกันเพิ่มก็อาจถูกบังคับปิดสถานะ
ข้อควรระวังสำคัญที่สุดสำหรับนักลงทุนมือใหม่ในตลาดอนุพันธ์ไทยคืออะไร?
ข้อควรระวังสำคัญที่สุดสำหรับนักลงทุนมือใหม่คือ ความเสี่ยงจากเลเวอเรจ เลเวอเรจสามารถขยายผลกำไรได้จริง แต่ก็ขยายผลขาดทุนได้เช่นกันอย่างรวดเร็วและรุนแรง นักลงทุนมือใหม่อาจไม่เข้าใจกลไกนี้อย่างถ่องแท้ และอาจสูญเสียเงินลงทุนทั้งหมดได้ภายในเวลาอันสั้นหากตลาดเคลื่อนไหวผิดทิศทางเพียงเล็กน้อย ควรเริ่มต้นด้วยการลงทุนในจำนวนเงินที่น้อยมากๆ และทำความเข้าใจการบริหารจัดการเงินทุนและการตั้งจุดตัดขาดทุนอย่างเคร่งครัด
สามารถหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับตราสารอนุพันธ์จากหน่วยงานใดในประเทศไทยได้บ้าง?
นักลงทุนสามารถหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับตราสารอนุพันธ์จากหน่วยงานที่น่าเชื่อถือในประเทศไทยได้แก่:
- ตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้าแห่งประเทศไทย (TFEX): เว็บไซต์ www.tfex.co.th มีข้อมูลผลิตภัณฑ์ คู่มือการลงทุน และสัมมนา
- สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.): เว็บไซต์ www.sec.or.th มีกฎระเบียบ ข่าวสาร และคำเตือนผู้ลงทุน
- ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET): เว็บไซต์ www.set.or.th มีข้อมูลภาพรวมตลาด และบทความความรู้ด้านการลงทุน
- บริษัทหลักทรัพย์ (โบรกเกอร์): โบรกเกอร์ส่วนใหญ่จะมีบทวิเคราะห์ บทความ และการจัดอบรมให้ความรู้แก่นักลงทุน
ตราสารอนุพันธ์ผิดกฎหมายไหมในประเทศไทย?
ตราสารอนุพันธ์ไม่ผิดกฎหมายในประเทศไทย แต่เป็นการลงทุนที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) โดยมีตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้าแห่งประเทศไทย (TFEX) เป็นตลาดหลักในการซื้อขาย ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย การซื้อขายตราสารอนุพันธ์ที่ถูกกฎหมายจะต้องทำผ่านบริษัทหลักทรัพย์ที่ได้รับอนุญาตจาก ก.ล.ต. เท่านั้น การซื้อขายผ่านช่องทางที่ไม่เป็นทางการหรือกับบุคคลที่ไม่ได้รับอนุญาต อาจมีความเสี่ยงสูงและไม่ได้รับการคุ้มครองทางกฎหมาย