แนวโน้มดอกเบี้ยปี 2568: อัตราดอกเบี้ยจะลดลงจริงหรือไม่?

อัตราดอกเบี้ยนโยบายคืออะไร และสำคัญอย่างไรต่อเศรษฐกิจ?

อัตราดอกเบี้ยนโยบาย หรือที่เรียกกันทั่วไปว่า “อัตราดอกเบี้ยของแบงก์ชาติ” คือเครื่องมือหลักที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ใช้บริหารเศรษฐกิจผ่านคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ซึ่งทำหน้าที่ตัดสินใจว่าจะปรับขึ้น คงที่ หรือลดอัตรานี้ลง อัตราดังกล่าวสามารถมองว่าเป็นต้นทุนที่ธนาคารพาณิชย์ต้องจ่ายเมื่อยืมเงินจาก ธปท. ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของกระแสการเปลี่ยนแปลงดอกเบี้ยทั้งระบบ

ภาพประกอบ: ผลกระทบของนโยบายการเงินต่อเศรษฐกิจ

ความสำคัญของอัตราดอกเบี้ยนโยบายไม่ได้อยู่แค่ในห้องประชุมของ กนง. เท่านั้น แต่มันแผ่ขยายออกไปทุกมุมของเศรษฐกิจ เมื่อ ธปท. เปลี่ยนแปลงอัตรานี้ ธนาคารพาณิชย์ก็มักจะปรับอัตราดอกเบี้ยเงินกู้และเงินฝากตาม ไม่ว่าจะเป็นสินเชื่อบ้าน สินเชื่อรถยนต์ หรือดอกเบี้ยเงินฝากประจำ ทั้งหมดนี้ส่งผลโดยตรงต่อรายได้และค่าใช้จ่ายของประชาชนทั่วไป

การตัดสินใจของ กนง. จึงไม่ใช่แค่ตัวเลขบนหน้าข่าวเศรษฐกิจ แต่เป็นตัวแปรสำคัญที่ชี้ชะตาเงินในกระเป๋าของคนทั้งประเทศ ทั้งในมุมของผู้กู้ ผู้ฝาก และผู้ประกอบการ การเข้าใจแนวโน้มของอัตราดอกเบี้ยจึงเป็นพื้นฐานสำคัญของการวางแผนการเงินที่ชาญฉลาด

สรุปมติ กนง. ล่าสุดและภาพรวมอัตราดอกเบี้ยปัจจุบัน

ในการประชุมล่าสุด คณะกรรมการนโยบายการเงินมีมติ 5 ต่อ 2 ให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 2.50% ต่อปี ซึ่งนับเป็นการคงอัตราในระดับนี้ต่อเนื่องมาหลายเดือน ท่ามกลางแรงกดดันจากภาคเอกชนและนักเศรษฐศาสตร์บางส่วนที่เรียกร้องให้ลดอัตราเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจที่ยังฟื้นตัวไม่เต็มที่

เหตุผลหลักที่ กนง. ส่วนใหญ่เลือก “คง” อัตราไว้ คือการต้องการรักษาพื้นที่ในการดำเนินนโยบาย (policy space) ไว้ใช้ในอนาคต โดยเฉพาะในบริบทที่เศรษฐกิจโลกยังไม่มั่นคง ทั้งจากสงคราม ราคาน้ำมัน และความผันผวนของตลาดการเงินโลก แม้เงินเฟ้อในประเทศจะยังต่ำกว่าเป้า แต่คณะกรรมการมองว่าเศรษฐกิจไทยยังมีแรงขับเคลื่อนจากภาคการท่องเที่ยวและการบริโภคในประเทศที่ค่อยๆ ฟื้นตัว

อย่างไรก็ตาม มติที่ไม่เป็นเอกฉันท์สะท้อนความเห็นที่แตกต่างอย่างชัดเจน กรรมการ 2 ท่านเสนอให้ลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% เพื่อช่วยลดภาระหนี้ครัวเรือนและกระตุ้นการใช้จ่ายที่ยังอ่อนแอ ความเห็นที่แตกต่างนี้กลายเป็นสัญญาณสำคัญที่ทำให้ตลาดการเงินและนักวิเคราะห์ต่างจับตาแนวทางของ กนง. อย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะเมื่อเข้าสู่ช่วงวิเคราะห์แนวโน้มปี 2568 ที่ความคาดหวังต่อการ “ผ่อนคลายเชิงนโยบาย” ยิ่งทวีความรุนแรง

ปัจจัยขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย: กนง. มองภาพรวมปี 2567-2568 อย่างไร?

การตัดสินใจของ กนง. เกิดขึ้นจากการประเมินภาพรวมเศรษฐกิจอย่างละเอียด โดยพิจารณาหลายปัจจัยร่วมกัน เพื่อสร้างสมดุลระหว่างเสถียรภาพกับการเติบโต สำหรับแนวโน้มในปี 2567 ถึง 2568 มี 4 ปัจจัยหลักที่ถูกจับตามองเป็นพิเศษ

อัตราเงินเฟ้อ: แนวโน้มและเป้าหมายของ ธปท.

เงินเฟ้อถือเป็นหนึ่งในเข็มทิศหลักของนโยบายการเงิน โดย ธปท. ตั้งเป้าให้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปอยู่ในช่วง 1-3% อย่างต่อเนื่อง ทว่าในช่วงที่ผ่านมา เงินเฟ้อของไทยกลับอยู่ในระดับต่ำกว่ากรอบเป้าหมาย ซึ่งกลายเป็นข้ออ้างของหลายฝ่ายที่เรียกร้องให้ลดดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ

อย่างไรก็ตาม ธนาคารแห่งประเทศไทยประเมิน ว่าเงินเฟ้อมีแนวโน้มจะค่อยๆ ปรับตัวสูงขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี 2567 และน่าจะกลับเข้าสู่กรอบเป้าหมายภายในปี 2568 โดยได้รับแรงสนับสนุนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล เช่น โครงการดิจิทัลวอลเล็ต รวมถึงความเป็นไปได้ที่ราคาน้ำมันโลกจะปรับตัวสูงขึ้นในระยะถัดไป

การเติบโตของ GDP: แรงหนุนและความเสี่ยง

GDP หรือผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ คือตัวชี้วัดหลักของสุขภาพเศรษฐกิจ กนง. ประเมินว่าเศรษฐกิจไทยน่าจะเติบโตต่อเนื่องในปี 2567 และ 2568 โดยได้แรงหนุนหลักจากภาคการบริโภคเอกชนที่ยังคงแข็งแกร่ง และการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวที่เห็นได้จากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงยังคงมีอยู่ โดยเฉพาะจากภาคส่งออกที่ยังฟื้นตัวช้าตามภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว และความล่าช้าในการเบิกจ่ายงบประมาณของภาครัฐ ซึ่งอาจส่งผลให้การลงทุนในโครงการขนาดใหญ่ไม่เกิดขึ้นตามแผน ทั้งสองปัจจัยนี้อาจเป็นแรงถ่วงสำคัญต่อการเติบโตในระยะกลาง

ภาพประกอบ: การเติบโตทางเศรษฐกิจและการเปลี่ยนแปลงอัตราเงินเฟ้อ

ภาคการส่งออกและการท่องเที่ยว: ตัวแปรสำคัญของเศรษฐกิจ

ในฐานะประเทศที่พึ่งพารายได้จากการค้าระหว่างประเทศ การส่งออกและการท่องเที่ยวจึงเป็นเครื่องยนต์หลักของเศรษฐกิจ การท่องเที่ยวโดยเฉพาะถือเป็น “พระเอก” ที่ช่วยดึงเศรษฐกิจให้พ้นจากภาวะซบเซาในช่วงหลายปีที่ผ่านมา และคาดว่าจะยังคงเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญในปี 2568

ในขณะเดียวกัน ภาคการส่งออกยังเผชิญความท้าทายจากภาวะภูมิรัฐศาสตร์ที่ตึงเครียด และเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าหลักอย่างสหรัฐฯ และจีนที่ชะลอตัว ความผันผวนของทั้งสองภาคส่วนนี้จึงมีน้ำหนักมากต่อการประเมินภาพรวมเศรษฐกิจของ กนง. และจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อทิศทางนโยบายการเงินในอนาคต

หนี้ครัวเรือน: ปัจจัยกดดันที่ต้องจับตา

ระดับหนี้ครัวเรือนที่สูงกว่า 90% ของ GDP เป็นหนึ่งในปัญหาเรื้อรังที่ส่งผลต่อการตัดสินใจของ กนง. การขึ้นดอกเบี้ยจะเพิ่มภาระให้กับผู้กู้ โดยเฉพาะกลุ่มรายได้น้อย ในขณะที่การลดดอกเบี้ยอาจกระตุ้นให้เกิดการก่อหนี้เพิ่ม ซึ่งอาจนำไปสู่ความไม่เสถียรของระบบการเงินในระยะยาว

ดังนั้น กนง. จึงต้องเดินบนเส้นด้ายบางๆ ระหว่างการสนับสนุนเศรษฐกิจและการรักษาเสถียรภาพของระบบการเงิน ความระมัดระวังนี้จึงเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้การตัดสินใจปรับดอกเบี้ยต้องทำอย่างชั่งน้ำหนัก และไม่เร่งรีบ แม้จะมีแรงกดดันจากหลายฝ่าย

คาดการณ์แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยปี 2568 จากศูนย์วิจัยชั้นนำ

เมื่อมองภาพรวมเศรษฐกิจและปัจจัยต่างๆ ที่มีผล ศูนย์วิจัยชั้นนำของไทยได้ออกบทวิเคราะห์แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยในปี 2568 โดยส่วนใหญ่เห็นพ้องว่า “ยุคดอกเบี้ยขาขึ้น” ได้สิ้นสุดลงแล้ว และมีโอกาสสูงที่อัตราดอกเบี้ยจะ “คงที่” หรือ “ปรับลดลง” ภายในปีนี้

เพื่อให้เห็นภาพชัดเจน เราได้รวบรวมมุมมองจากศูนย์วิจัยชั้นนำ รวมถึงการวิเคราะห์จาก Moneta Markets ซึ่งเน้นการประเมินความเคลื่อนไหวของตลาดการเงินในมุมมองระดับโลก พร้อมผสานกับข้อมูลเศรษฐกิจมหภาคของไทย เพื่อให้ได้ภาพพยากรณ์ที่แม่นยำและรอบด้านยิ่งขึ้น

ข้อมูลด้านล่างนี้อ้างอิงจากบทวิเคราะห์ในไตรมาส 2 ปี 2567 ซึ่งอาจมีการปรับปรุงตามสถานการณ์เศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลง

ศูนย์วิจัย คาดการณ์อัตราดอกเบี้ย ณ สิ้นปี 2568 เหตุผลหลัก/ประเด็นที่น่าจับตา
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย (KResearch) 2.25% (ปรับลด 1 ครั้ง) คาดว่า กนง. จะลดดอกเบี้ยในช่วงต้นปี 2568 หากเศรษฐกิจเติบโตต่ำกว่าคาดและเงินเฟ้อยังอยู่ในระดับต่ำต่อเนื่อง
SCB EIC (Economic Intelligence Center) 2.25% (ปรับลด 1 ครั้ง) มองว่าเศรษฐกิจฟื้นตัวช้าและยังเปราะบาง การลดดอกเบี้ยจะช่วยพยุงการใช้จ่ายและลดภาระหนี้
TISCO Economic Strategy Unit (ESU) 2.00% (ปรับลด 2 ครั้ง) ประเมินว่าเศรษฐกิจยังต่ำกว่าศักยภาพ อาจจำเป็นต้องลดดอกเบี้ย 2 ครั้งเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างมีนัยสำคัญ อ้างอิงจาก TISCO ESU
KKP Research โดยกลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร 2.50% (คงอัตราดอกเบี้ย) คาดว่า กนง. จะคงอัตราตลอดปี 2568 เพื่อรักษาเสถียรภาพ และรอประเมินความชัดเจนของเศรษฐกิจโลกและนโยบายภาครัฐ
Moneta Markets 2.25% (ปรับลด 1 ครั้ง) มองว่า กนง. มีแนวโน้มจะลดดอกเบี้ยในช่วงกลางปี 2568 หากเงินเฟ้อยังไม่ฟื้นตัวตามเป้า และเศรษฐกิจโลกชะลอตัวต่อเนื่อง โดยอ้างอิงจากความเคลื่อนไหวของธนาคารกลางหลักๆ ทั่วโลกที่เริ่มผ่อนคลาย

จะเห็นได้ว่าแม้ความเห็นส่วนใหญ่จะชี้ไปในทิศทางเดียวกันว่าอาจมีการปรับลดดอกเบี้ย แต่ยังมีความแตกต่างกันในเรื่องของจังหวะเวลาและจำนวนครั้ง สะท้อนถึงความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจที่ยังรออยู่ข้างหน้า และเป็นเหตุผลที่ทำให้การติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิดมีความสำคัญยิ่ง

ผลกระทบต่อคุณ: ดอกเบี้ยปี 2568 กระทบการเงินส่วนบุคคลอย่างไร?

แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยไม่ใช่แค่เรื่องของนักเศรษฐศาสตร์หรือเจ้าหน้าที่รัฐ แต่เป็นสิ่งที่มีผลต่อชีวิตประจำวันของทุกคน ไม่ว่าจะเป็นการกู้ การออม หรือการลงทุน การเข้าใจผลกระทบที่ตามมาจะช่วยให้คุณตัดสินใจได้อย่างมั่นใจและทันเวลา

สำหรับผู้กู้ซื้อบ้านและสินเชื่ออื่นๆ: ค่าผ่อนจะลดลงหรือไม่?

กลุ่มนี้คือผู้ที่ได้รับผลกระทบชัดเจนที่สุด โดยเฉพาะผู้ที่มีสินเชื่อบ้านแบบดอกเบี้ยลอยตัว หาก กนง. ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ธนาคารพาณิชย์มักจะปรับลดอัตรา MLR หรือ MRR ตามมา ซึ่งหมายถึงภาระค่าผ่อนรายเดือนของคุณอาจลดลง หรือถ้าเลือกจ่ายเท่าเดิม ก็จะได้ตัดเงินต้นมากขึ้น

นี่จึงเป็นจังหวะดีที่ควรเริ่มศึกษาการขอ “Retention” กับธนาคารเดิม หรือพิจารณา “Refinance” ไปยังธนาคารที่ให้อัตราดอกเบี้ยต่ำกว่า เพื่อลดต้นทุนการกู้ยืมในระยะยาว

สำหรับผู้ฝากเงิน: ผลตอบแทนจากเงินฝากออมทรัพย์และฝากประจำ

ในทางกลับกัน ผู้ที่พึ่งพาผลตอบแทนจากเงินฝากอาจต้องปรับตัว เพราะเมื่อแบงก์ชาติลดดอกเบี้ย อัตราดอกเบี้ยเงินฝากก็มักจะลดลงตาม เมื่อผลตอบแทนจากบัญชีออมทรัพย์หรือฝากประจำหดหาย ผู้ออมอาจต้องมองหาทางเลือกอื่นที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่า แม้ต้องรับความเสี่ยงเพิ่ม เช่น กองทุนรวมตลาดเงิน หรือตราสารหนี้ระยะสั้น

ภาพประกอบ: กลยุทธ์การวางแผนการเงินในยุคดอกเบี้ยต่ำ

สำหรับนักลงทุน: ทิศทางตลาดหุ้นและตราสารหนี้

นักลงทุนควรจับตาทิศทางดอกเบี้ยอย่างใกล้ชิด เพราะการลดดอกเบี้ยมักส่งผลบวกต่อตลาดหุ้น เนื่องจากต้นทุนทางการเงินของบริษัทลดลง ทำให้กำไรเพิ่มขึ้น ขณะเดียวกัน นักลงทุนมีแนวโน้มจะย้ายเงินออกจากสินทรัพย์ปลอดภัยอย่างเงินฝาก มาลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงมากขึ้น

ในตลาดตราสารหนี้ ตราสารที่ออกก่อนหน้าในยุคดอกเบี้ยสูงจะกลายเป็นที่ต้องการ เพราะให้ผลตอบแทนสูงกว่าตราสารที่ออกใหม่ในยุคดอกเบี้ยต่ำ ทำให้ราคาพันธบัตรเดิมปรับตัวสูงขึ้น

สำหรับเจ้าของธุรกิจ: ต้นทุนทางการเงินและโอกาสในการลงทุน

เจ้าของธุรกิจ особенно SMEs ที่ต้องพึ่งพาสินเชื่อจากธนาคาร จะได้รับประโยชน์โดยตรงเมื่อดอกเบี้ยขาลง ต้นทุนทางการเงินที่ลดลงสามารถนำไปใช้ขยายกิจการ เพิ่มสต็อกสินค้า หรือลงทุนในเครื่องจักรใหม่เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ นี่คือช่วงเวลาที่ดีในการวางแผนการเงินเพื่อใช้ประโยชน์จากสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเติบโต

สรุปและคำแนะนำ: ควรเตรียมตัวรับมือกับทิศทางดอกเบี้ยปี 2568 อย่างไร?

โดยภาพรวม แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยในปี 2568 มีความเป็นไปได้สูงที่จะไม่ปรับขึ้น และมีโอกาสสูงที่จะเห็นการ “คงที่” หรือ “ปรับลดลง” 1-2 ครั้ง ขึ้นอยู่กับข้อมูลเศรษฐกิจที่จะทยอยประกาศออกมาในช่วงครึ่งหลังของปี การเปลี่ยนแปลงนี้อาจไม่กระทบหนักในทันที แต่จะสะสมเป็นผลต่อเนื่องในระยะกลาง

ดังนั้น การเตรียมความพร้อมตั้งแต่วันนี้คือกุญแจสำคัญ ด้านล่างนี้คือคำแนะนำเชิงปฏิบัติที่คุณสามารถนำไปใช้ได้ทันที

  1. ผู้กู้สินเชื่อบ้าน: เริ่มเตรียมเอกสารสำหรับการ Refinance หรือขอ Retention ตั้งแต่ปลายปี 2567 ศึกษาข้อเสนอจากธนาคารต่างๆ ล่วงหน้า เพื่อให้พร้อมดำเนินการทันทีเมื่อมีการปรับลดดอกเบี้ย
  2. ผู้ออมและผู้ลงทุน: ทบทวนพอร์ตการลงทุน กระจายความเสี่ยงไปยังสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่าเงินฝาก ตามระดับความเสี่ยงที่คุณยอมรับได้ เช่น กองทุนรวม หรือหุ้นปันผลที่มีเสถียรภาพ
  3. เจ้าของธุรกิจ: ใช้ช่วงเวลาที่ต้นทุนการเงินต่ำในการวางแผนขยายกิจการ ปรับปรุงระบบ หรือลงทุนในเทคโนโลยีใหม่ๆ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน
  4. บุคคลทั่วไป: ให้ความสำคัญกับวินัยทางการเงิน บริหารหนี้อย่างรัดกุม และรักษาสภาพคล่อง ไม่ว่าดอกเบี้ยจะขึ้นหรือลง การมีแผนการเงินที่มั่นคงจะช่วยให้คุณรับมือกับความผันผวนได้ดีขึ้น

สุดท้ายนี้ อย่าลืมติดตามข้อมูลเศรษฐกิจจากแหล่งข่าวที่น่าเชื่อถือ โดยเฉพาะการแถลงผลการประชุม กนง. ที่เผยแพร่ผ่าน เว็บไซต์ของธนาคารแห่งประเทศไทย ข้อมูลที่ถูกต้องและทันเวลาจะช่วยให้คุณปรับแผนการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพและทันเหตุการณ์

อัตราดอกเบี้ยนโยบาย คืออะไร?

อัตราดอกเบี้ยนโยบาย คือ อัตราดอกเบี้ยที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กำหนดขึ้นเพื่อใช้เป็นเกณฑ์อ้างอิงสำหรับธนาคารพาณิชย์ในการกู้ยืมเงินระหว่างกัน ถือเป็นเครื่องมือหลักในการดำเนินนโยบายการเงินเพื่อดูแลเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของประเทศ ทั้งในด้านการเติบโตทางเศรษฐกิจ อัตราเงินเฟ้อ และเสถียรภาพของระบบการเงิน

แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยปี 2568 คาดว่าจะมีการปรับขึ้นหรือลง?

นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดการณ์ว่าวัฏจักรดอกเบี้ยขาขึ้นได้สิ้นสุดแล้ว และแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยปี 2568 มีโอกาสสูงที่จะ “คงที่” หรือ “ปรับลดลง” จำนวน 1-2 ครั้ง (ประมาณ 0.25% – 0.50%) ขึ้นอยู่กับตัวเลขการเติบโตของ GDP และอัตราเงินเฟ้อว่าจะฟื้นตัวได้ตามเป้าหมายหรือไม่

กนง. จะประชุมเพื่อพิจารณาอัตราดอกเบี้ยอีกครั้งเมื่อใด?

โดยปกติแล้ว คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะมีการประชุมเพื่อพิจารณาอัตราดอกเบี้ยนโยบายประมาณ 6-8 ครั้งต่อปี หรือทุกๆ 6-8 สัปดาห์ ท่านสามารถติดตามตารางการประชุมล่วงหน้าได้จากเว็บไซต์ของธนาคารแห่งประเทศไทย

หากอัตราดอกเบี้ยนโยบายลดลง จะส่งผลดีต่อใครบ้าง?

  • ผู้กู้สินเชื่อ: โดยเฉพาะผู้กู้สินเชื่อบ้านและสินเชื่อธุรกิจที่มีอัตราดอกเบี้ยแบบลอยตัว จะมีภาระผ่อนชำระลดลง
  • ภาคธุรกิจ: มีต้นทุนทางการเงินลดลง ช่วยกระตุ้นการลงทุนและการจ้างงาน
  • ตลาดหุ้น: โดยทั่วไปมักจะตอบสนองในเชิงบวก เนื่องจากต้นทุนบริษัทลดลงและมีเงินไหลเข้าสู่สินทรัพย์เสี่ยงมากขึ้น

อัตราเงินเฟ้อส่งผลต่อการตัดสินใจเรื่องดอกเบี้ยอย่างไร?

อัตราเงินเฟ้อเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดอย่างหนึ่ง หากเงินเฟ้อสูงเกินไป กนง. อาจจำเป็นต้อง “ขึ้น” ดอกเบี้ยเพื่อชะลอความร้อนแรงของเศรษฐกิจและควบคุมราคาสินค้า ในทางกลับกัน หากเงินเฟ้อต่ำเกินไปอย่างต่อเนื่อง อาจเป็นสัญญาณว่าเศรษฐกิจชะลอตัว ซึ่ง กนง. อาจพิจารณา “ลด” ดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายและการลงทุน

ดอกเบี้ยบ้านปี 2568 จะถูกลงหรือไม่?

มีความเป็นไปได้สูงว่าดอกเบี้ยบ้านในปี 2568 จะถูกลง หาก กนง. มีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายตามที่หลายฝ่ายคาดการณ์ ซึ่งจะส่งผลให้ธนาคารพาณิชย์ปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ MRR และ MLR ตามลงมา อย่างไรก็ตาม ควรติดตามประกาศอย่างเป็นทางการจากแต่ละธนาคารอีกครั้ง

เราควร refinance บ้านในช่วงนี้ดีไหม?

ช่วงที่คาดว่าดอกเบี้ยกำลังจะปรับลดลงถือเป็น “จังหวะที่ดี” ในการเริ่มศึกษาข้อมูลและเตรียมตัวเพื่อ refinance หรือขอ retention (ขอลดดอกเบี้ยกับธนาคารเดิม) เพราะเมื่อมีการประกาศลดดอกเบี้ยจริง คุณจะสามารถยื่นเรื่องได้ทันทีและได้รับประโยชน์จากอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำลงอย่างรวดเร็ว

ปัจจัยเสี่ยงอะไรที่อาจทำให้ทิศทางดอกเบี้ยไม่เป็นไปตามคาด?

ปัจจัยเสี่ยงหลักๆ ได้แก่:

  • เศรษฐกิจโลก: หากเศรษฐกิจโลกถดถอยรุนแรงกว่าคาด อาจกดดันให้ กนง. ต้องลดดอกเบี้ยเร็วกว่ากำหนด
  • ปัญหาภูมิรัฐศาสตร์: ความขัดแย้งระหว่างประเทศที่รุนแรงขึ้นอาจส่งผลให้ราคาพลังงานและเงินเฟ้อพุ่งสูงขึ้น ซึ่งอาจทำให้ กนง. ต้องชะลอการลดดอกเบี้ยออกไป
  • นโยบายภาครัฐ: มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจขนาดใหญ่ของภาครัฐ เช่น โครงการดิจิทัลวอลเล็ต อาจส่งผลต่อเงินเฟ้อและการเติบโตทางเศรษฐกิจ ซึ่ง กนง. จะนำมาพิจารณาประกอบการตัดสินใจด้วย

發佈留言

發佈留言必須填寫的電子郵件地址不會公開。 必填欄位標示為 *