Grid Trading คืออะไร? ทำความเข้าใจหลักการภายใน 5 นาที
Grid Trading เป็นหนึ่งในกลยุทธ์การลงทุนที่ได้รับความนิยมในหมู่นักเทรดทั้งมือใหม่และมืออาชีพ โดยเฉพาะในตลาดที่มีความผันผวนสูงอย่างคริปโตเคอร์เรนซีหรือ Forex กลยุทธ์นี้เน้นการวางคำสั่งซื้อและขายล่วงหน้าในระดับราคาที่กำหนดไว้เป็นขั้นบันได คล้ายกับการสร้างตาราง (Grid) บนกราฟราคา ซึ่งก็เป็นที่มาของชื่อเรียกกลยุทธ์นี้นั่นเอง
ลองจินตนาการว่าคุณกำลังตั้งกับดัก ณ ระดับราคาต่างๆ โดยเมื่อราคาลดต่ำลงมา ระบบก็จะซื้อสินทรัพย์ทีละไม้ตามจุดที่ตั้งไว้ จากนั้นเมื่อราคาเริ่มดีดตัวขึ้นก็จะขายคืนที่ระดับราคาสูงขึ้น ทำกำไรจากช่องว่างของราคาที่ขยับขึ้นลงอย่างต่อเนื่อง จุดเด่นของกลยุทธ์นี้คือไม่จำเป็นต้องทายทิศทางตลาด แต่อาศัยความผันผวนที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติของราคา
แทนที่จะพยายามทำกำไรก้อนโตจากการคาดการณ์แนวโน้มในระยะยาว Grid Trading เน้นเก็บกำไรเล็กน้อยแต่บ่อยครั้ง โดยทำงานได้ดีที่สุดในตลาดที่ไม่มีแรงส่งชัดเจน หรือที่เรียกว่า “ตลาดไซด์เวย์” (Sideways Market) ซึ่งราคาขยับไปมาระหว่างแนวรับ-แนวต้านเดิมๆ อย่างต่อเนื่อง ทำให้เป็นกลยุทธ์ที่ลงตัวสำหรับสถานการณ์ที่กลยุทธ์ตามแนวโน้มกลับไม่สามารถทำกำไรได้

กลไกการทำงานของระบบ Grid Trading
กลยุทธ์นี้ขึ้นชื่อเรื่องความเป็นระบบและสามารถทำงานอัตโนมัติได้โดยไม่ต้องเฝ้าหน้าจอตลอดเวลา ด้วยการตั้งค่าพารามิเตอร์หลักเพียงไม่กี่อย่าง ระบบก็พร้อมทำงานแทนคุณอย่างแม่นยำและต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นกลางวันหรือกลางคืน
กระบวนการทั้งหมดสามารถแบ่งออกเป็นขั้นตอนหลักสามขั้น ได้แก่ การกำหนดกรอบราคา การแบ่งจำนวนกริด และการทำงานของคำสั่งซื้อขาย โดยแต่ละขั้นตอนมีผลโดยตรงต่อประสิทธิภาพและผลตอบแทนโดยรวมของกลยุทธ์
การตั้งกรอบราคา: จุดเริ่มต้นของทุกอย่าง
การวางรากฐานที่ดีคือกุญแจสำคัญ และในกรณีของ Grid Trading ก็คือการเลือกกรอบราคาที่เหมาะสม ซึ่งประกอบด้วยแนวรับล่างสุด (Lower Price) และแนวต้านบนสุด (Upper Price) ที่คุณคาดการณ์ว่าราคาจะแกว่งตัวอยู่ภายในนั้น
- ราคาสูงสุด (Upper Price): เป็นจุดที่คุณคาดว่าราคาจะขึ้นไปได้ยากอีก หรืออาจถือเป็นแนวต้านทางเทคนิคที่ชัดเจน เป็นตำแหน่งที่คุณจะวางคำสั่งขายทั้งหมด
- ราคาต่ำสุด (Lower Price): เป็นระดับที่คุณเชื่อว่าราคาจะได้รับการหนุนจากแรงซื้อ หรือเป็นแนวรับที่ผ่านการทดสอบมาแล้วหลายครั้ง ถือเป็นจุดที่คุณจะซื้อเข้าอย่างมั่นใจ
การตั้งกรอบนี้ควรใช้เครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคอย่างการใช้ Support & Resistance, Bollinger Bands, หรือ Fibonacci Retracement ร่วมด้วย เพื่อเพิ่มความแม่นยำในการคาดการณ์ และลดความเสี่ยงจากการตั้งกรอบที่กว้างหรือแคบเกินไป
การแบ่งจำนวนกริด: ความละเอียดที่ส่งผลต่อผลลัพธ์
เมื่อได้กรอบราคาแล้ว ขั้นต่อไปคือการตัดสินใจว่าจะแบ่งพื้นที่ระหว่าง Upper และ Lower Price ออกเป็นกี่ช่อง หรือที่เรียกว่า “จำนวนกริด” ซึ่งจะกำหนดความถี่ในการซื้อขายและขนาดของกำไรในแต่ละครั้ง
- กริดถี่ (จำนวนกริดมาก): หากเลือกแบ่งกริดเป็นจำนวนมาก เช่น 50 หรือ 100 ช่อง ระยะห่างระหว่างกริดจะแคบ ทำให้ระบบออกคำสั่งบ่อยขึ้น แม้ราคาจะขยับเพียงเล็กน้อย เหมาะกับสินทรัพย์ที่เคลื่อนตัวช้าและมีความผันผวนต่ำ แต่กำไรต่อรอบก็จะน้อยลง
- กริดห่าง (จำนวนกริดน้อย): การแบ่งกริดน้อย เช่น 10-20 ช่อง จะทำให้ระยะห่างระหว่างคำสั่งกว้างขึ้น ต้องรอให้ราคาเคลื่อนที่มากกว่าจึงจะได้ซื้อหรือขาย แต่กำไรที่ได้ในแต่ละครั้งจะสูงกว่า เหมาะกับสินทรัพย์ที่มีความผันผวนสูงและเคลื่อนตัวรวดเร็ว
การเลือกจำนวนกริดจึงไม่ใช่เรื่องที่ควรตัดสินด้วยสูตรตายตัว แต่ต้องพิจารณาควบคู่ไปกับลักษณะของสินทรัพย์ ความถี่ในการเทรดที่ต้องการ และระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้
ระบบซื้อขายอัตโนมัติด้วยคำสั่งซื้อแบบจำกัด
เมื่อตั้งค่าทั้งหมดเสร็จสิ้น ระบบจะเริ่มวางคำสั่งซื้อ (Buy Limit) และคำสั่งขาย (Sell Limit) บนแต่ละเส้นกริดโดยอัตโนมัติ โดยทำงานตามหลักการต่อไปนี้
- คำสั่ง Buy Limit จะถูกวางไว้ที่ทุกจุดกริดที่อยู่ต่ำกว่าราคาปัจจุบัน รอให้ราคาตกมาถึงแล้วซื้อเข้า
- คำสั่ง Sell Limit จะถูกวางไว้ที่ทุกจุดกริดที่อยู่สูงกว่าราคาปัจจุบัน รอให้ราคาดีดตัวขึ้นไปถึงแล้วขายออก
- เมื่อราคาลดต่ำลงมาถึงจุดกริดหนึ่ง คำสั่งซื้อจะทำงานทันที และระบบจะสร้างคำสั่งขายใหม่ขึ้นที่กริดถัดไปด้านบนโดยอัตโนมัติ
- ในทางกลับกัน เมื่อราคาดีดขึ้นไปแตะกริดบน คำสั่งขายจะทำงาน และระบบจะสร้างคำสั่งซื้อใหม่ในจุดที่เพิ่งขายไป พร้อมรับรอบใหม่
ลักษณะนี้ทำให้เกิดวงจร “ซื้อถูก ขายแพง” ซ้ำๆ อย่างต่อเนื่องทุกครั้งที่ราคาขยับขึ้นลงภายในกรอบ ตราบใดที่ยังไม่หลุดกรอบ ระบบก็จะยังคงทำกำไรได้แม้ไม่มีการเคลื่อนไหวในทิศทางเดียว

ข้อดีและข้อเสียของกลยุทธ์ Grid Trading
แม้จะดูมีตรรกะและน่าสนใจ แต่กลยุทธ์นี้ก็ไม่ใช่ทางลัดสู่ความร่ำรวย ยังคงมีจุดแข็งและจุดอ่อนที่ต้องเข้าใจอย่างถ่องแท้ก่อนจะลงมือใช้จริง โดยเฉพาะในบริบทของตลาดที่มีความซับซ้อนและความเสี่ยงสูง
ข้อดี (Pros) | ข้อเสีย / ความเสี่ยง (Cons / Risks) |
---|---|
ทำกำไรในตลาดไซด์เวย์ได้ดี: ออกแบบมาเพื่อตลาดที่ไม่มีแนวโน้ม สามารถสร้างผลตอบแทนต่อเนื่องแม้ราคาจะขยับขึ้นลงในกรอบแคบ | เสี่ยงขาดทุนเมื่อตลาดเป็นเทรนด์แรง: หากเกิด breakout ขึ้นหรือลงจากรอบที่ตั้งไว้ จะเกิด unrealized loss จำนวนมาก โดยเฉพาะหากหลุดกรอบล่าง |
ลดอารมณ์ในการเทรด: ทุกการตัดสินใจถูกกำหนดล่วงหน้า ช่วยให้หลุดพ้นจากความกลัวหรือโลภที่มาพร้อมกับการตัดสินใจเอง | เสี่ยงติดดอยสูง: หากซื้อครบทุกไม้แล้วราคาไหลลงเรื่อยๆ คุณจะกลายเป็นผู้ถือครองสินทรัพย์จำนวนมากในราคาเฉลี่ยที่สูง |
ใช้งานอัตโนมัติได้เต็มรูปแบบ: เหมาะสำหรับการใช้ Bot หรือ EA ช่วยดำเนินการตลอด 24 ชั่วโมง โดยเฉพาะในตลาดคริปโต | ผลกำไรต่อครั้งน้อย: ไม่เหมาะกับนักลงทุนที่ต้องการผลตอบแทนก้อนโตในระยะสั้น |
สร้างรายได้สม่ำเสมอ: หากราคาวิ่งในกรอบอย่างต่อเนื่อง พอร์ตจะได้รับกำไรเล็กๆ ทุกวัน ซึ่งช่วยเสริมกระแสเงินสด | ต้องใช้เงินทุนค่อนข้างมาก: การวางคำสั่งหลายตัวพร้อมกันต้องใช้เงินสำรองจำนวนมาก ยิ่งจำนวนกริดมาก ยิ่งต้องมีสภาพคล่องเพียงพอ |
ประยุกต์ใช้ Grid Trading ในตลาดหุ้นไทย
แม้กลยุทธ์นี้จะถูกพูดถึงมากในตลาดคริปโตและ Forex แต่ก็สามารถนำมาใช้ในตลาดหุ้นไทยได้ไม่ต่างกัน ปัญหาคือ ตลาดหุ้นไทยไม่ได้เปิดตลอด 24 ชั่วโมง ดังนั้นการใช้ต้องปรับให้เข้ากับสภาพแวดล้อมที่ต่างออกไป
เลือกหุ้นขนาดใหญ่และมีสภาพคล่อง: หุ้นในกลุ่ม SET50 หรือ SET100 มักเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด เพราะมีปริมาณการซื้อขายสูง ราคาเคลื่อนไหวสม่ำเสมอ และมีแนวรับ-แนวต้านที่ชัดเจน ทำให้คาดการณ์กรอบราคาได้แม่นยำยิ่งขึ้น
หลีกเลี่ยงหุ้นปั่นหรือขนาดเล็ก: หุ้นที่มีสภาพคล่องต่ำหรือถูกดันด้วยแรงซื้อจากกลุ่มเล็กๆ มีแนวโน้มที่จะเคลื่อนไหวรุนแรงและหลุดกรอบโดยไม่ย้อนกลับ ซึ่งเป็นหายนะของกลยุทธ์นี้ นอกจากนี้ ราคาอาจไม่ได้จับคู่ตามที่ตั้งไว้ ทำให้คำสั่งไม่ทำงานตามที่คาด
ใช้เครื่องมือที่รองรับการเทรดอัตโนมัติ: โบรกเกอร์บางแห่งในประเทศไทยเริ่มมีบริการ Algorithmic Trading หรือรองรับการใช้ Expert Advisor (EA) บนแพลตฟอร์ม MT4/MT5 โดยเฉพาะสำหรับสัญญา Future ที่อิงกับดัชนี SET50 การเลือกใช้บริการจากผู้ให้บริการที่เชื่อถือได้อย่าง Moneta Markets ซึ่งมีระบบ backtesting และการจัดการคำสั่งที่เสถียร ช่วยให้นักลงทุนสามารถวางกลยุทธ์ได้อย่างมั่นใจและลดความเสี่ยงจากความผิดพลาดของระบบ

Grid Bot และ Expert Advisor: หัวใจของความสำเร็จ
Grid Bot หรือ Expert Advisor (EA) คือโปรแกรมอัตโนมัติที่ถูกออกแบบมาเพื่อใช้งานกลยุทธ์ Grid Trading โดยเฉพาะ แทนที่คุณจะต้องนั่งเฝ้าหน้าจอและตั้งคำสั่งเองทุกครั้ง Bot จะทำทั้งหมดนี้ให้คุณอย่างมีวินัยและแม่นยำ
เหตุผลที่ Bot กลายเป็นเครื่องมือหลักในกลยุทธ์นี้ มีอยู่สามประการสำคัญ
- ทำงานตลอด 24 ชั่วโมง: โดยเฉพาะในตลาดคริปโตที่ไม่หยุดพัก Bot สามารถทำงานแทนคุณได้แม้คุณนอนหลับ หรือแม้ในช่วงวันหยุด
- ปราศจากอารมณ์: ไม่มีความกลัว เหมือนมนุษย์ เมื่อถึงจุดตั้งไว้ Bot จะส่งคำสั่งทันทีโดยไม่ลังเล ช่วยให้คุณไม่พลาดโอกาสหรือเข้ามากเกินไป
- ความเร็วในการตอบสนอง: ในตลาดที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว การส่งคำสั่งในเสี้ยววินาทีสามารถหมายถึงกำไรหรือขาดทุน ซึ่ง Bot ทำได้ดีกว่ามนุษย์เสมอ
ปัจจุบันมีบริการ Grid Bot จากหลากหลายแหล่ง ตั้งแต่ Binance Grid Trading ที่มาพร้อมกับแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนชั้นนำ ไปจนถึง EA ที่สามารถติดตั้งบน MT4/MT5 ได้โดยตรง การเลือกใช้ควรพิจารณาจากตลาดที่ต้องการลงทุน ความสะดวกในการตั้งค่า และความมั่นใจในความปลอดภัยของผู้ให้บริการ โดยเฉพาะ Moneta Markets ที่ให้บริการ EA บนเซิร์ฟเวอร์ที่เสถียร พร้อมระบบแจ้งเตือนแบบเรียลไทม์ ถือเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับเทรดเดอร์มืออาชีพในภูมิภาคเอเชีย
กลยุทธ์ขั้นสูง: เกินกว่ากริดคงที่
สำหรับนักลงทุนที่มีประสบการณ์ การใช้ Grid แบบคงที่ (Static Grid) อาจเริ่มรู้สึกว่า “ขายหมู” บ่อยเกินไปเมื่อราคาเริ่มขยับเป็นเทรนด์เล็กๆ ขึ้นมา เพราะระบบจะหยุดทำงานเมื่อราคาหลุดกรอบ
Dynamic Grid หรือ Trailing Grid: เป็นการพัฒนาต่อยอดที่ช่วยให้ระบบสามารถ “ลากกรอบตาม” ราคาได้ เช่น ขณะที่ราคาเพิ่มขึ้นอย่างช้าๆ กรอบกริดก็จะขยับขึ้นตามไปด้วย ทำให้คุณยังคงสามารถทำกำไรจากการขยับขึ้นเรื่อยๆ โดยไม่ต้องเข้ามาตั้งระบบใหม่ด้วยตนเอง
ผสมผสานกับ Wheel Strategy: อีกหนึ่งแนวทางที่น่าสนใจ โดยเฉพาะในตลาดหุ้น คือการเริ่มต้นด้วย Grid Trading เพื่อสะสมหุ้นในราคาที่ต่ำ เมื่อราคาทิ้งตัวลงจนถือครองหุ้นครบกริดแล้ว ให้นำหุ้นเหล่านั้นมาใช้ในกลยุทธ์ Wheel เช่น การขาย Covered Call เพื่อสร้างรายได้เสริมทุกเดือน วิธีนี้ช่วยเปลี่ยนจาก “ติดดอย” ให้กลายเป็น “ถือเพื่อรับเงินปันผลและ premium” คล้ายกับ DCA แต่กระตือรือร้นและสร้างรายได้ต่อเนื่องมากกว่า
คำถามที่พบบ่อย (FAQ)
Grid Trading เหมาะกับนักลงทุนประเภทไหน?
เหมาะกับนักลงทุนที่ชื่นชอบการเทรดแบบมีระบบ ไม่ต้องการตัดสินใจด้วยอารมณ์ และยอมรับผลกำไรเล็กน้อยแต่สม่ำเสมอได้ นอกจากนี้ยังต้องมีความเข้าใจในพฤติกรรมตลาดไซด์เวย์ และมีวินัยในการจัดการความเสี่ยงหากตลาดเปลี่ยนทิศทาง
ต้องใช้เงินทุนเริ่มต้นเท่าไหร่สำหรับ Grid Trading?
ไม่มีตัวเลขตายตัว แต่โดยทั่วไปต้องใช้เงินทุนค่อนข้างมาก เนื่องจากต้องรองรับคำสั่งซื้อหลายไม้พร้อมกัน ยิ่งจำนวนกริดมากหรือ size ต่อไม้ใหญ่ ก็ยิ่งต้องใช้เงินมากขึ้นเพื่อลดความเสี่ยงจาก margin call
จะเกิดอะไรขึ้นถ้าราคาหลุดกรอบ (Price Range) ที่ตั้งไว้?
- ถ้าราคาหลุดกรอบบน (Upper Price): ระบบจะขายสินทรัพย์ทั้งหมดออก ได้กำไรจากทุกไม้ แต่จะพลาดโอกาสหากราคาขึ้นต่อ (ขายหมู)
- ถ้าราคาหลุดกรอบล่าง (Lower Price): ระบบจะซื้อครบหมดทุกไม้ แล้วคุณจะติดดอยอยู่กับสินทรัพย์ที่มีต้นทุนสูงกว่าราคาตลาดปัจจุบัน
Grid Trading สามารถใช้กับตลาดคริปโตเคอร์เรนซี (Cryptocurrency) หรือ Forex ได้หรือไม่?
ได้ และเป็นที่นิยมมาก เนื่องจากทั้งสองตลาดมีความผันผวนสูงและเปิดตลอด 24 ชั่วโมง ทำให้ Bot สามารถทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ โดยเฉพาะในสภาวะที่ไม่มีเทรนด์ชัดเจน
ควรเลือกจำนวนกริด (Number of Grids) เท่าไหร่ถึงจะเหมาะสม?
ขึ้นอยู่กับสินทรัพย์และความผันผวน หากสินทรัพย์เคลื่อนไหวช้า ควรใช้กริดมาก (50-100) เพื่อจับทุกการขยับ แต่หากผันผวนสูง อาจใช้กริดน้อยลง (10-20) เพื่อให้กำไรต่อไม้สูงขึ้น
Grid Bot มีความน่าเชื่อถือแค่ไหน และมีความเสี่ยงอะไรบ้างที่ต้องระวัง?
Bot จากผู้ให้บริการใหญ่ๆ โดยทั่วไปมีความแม่นยำสูง แต่ความเสี่ยงหลักอยู่ที่ผู้ใช้เอง การตั้งค่ากริดไม่เหมาะสมหรือเลือกสินทรัพย์ที่ไม่เหมาะ ยังคงนำไปสู่ผลขาดทุนได้ รวมถึงความเสี่ยงจาก breakout ที่หลุดกรอบ
เราสามารถทำ Grid Trading ด้วยตัวเองโดยไม่ใช้ Bot ได้หรือไม่ แตกต่างกันอย่างไร?
ทำได้ผ่านการตั้งคำสั่ง Buy Limit และ Sell Limit ด้วยมือ (Manual Grid) แต่ต้องใช้เวลาและความวินัยสูงในการจัดการคำสั่งทุกครั้งที่มีการจับคู่ Bot จึงช่วยลดภาระและเพิ่มความแม่นยำ โดยเฉพาะในตลาดที่เคลื่อนตัวเร็ว
ความแตกต่างที่สำคัญระหว่าง Grid Trading และ DCA (Dollar-Cost Averaging) คืออะไร?
เป้าหมายต่างกัน Grid Trading เน้นกำไรจากความผันผวนระยะสั้น โดยมีการ “ซื้อ-ขาย” ซ้ำๆ ภายในกรอบ ในขณะที่ DCA เป็นกลยุทธ์ระยะยาวเพื่อลดต้นทุนเฉลี่ย โดย “ซื้อ” อย่างสม่ำเสมอโดยไม่ขายออกเพื่อทำกำไร
สภาวะตลาดแบบไหนที่ควรหลีกเลี่ยงการใช้กลยุทธ์ Grid Trading มากที่สุด?
ควรหลีกเลี่ยงในสภาวะที่ตลาดมีแนวโน้มชัดเจนและรุนแรง ไม่ว่าจะเป็นขาขึ้นแรง (Uptrend) หรือขาลงต่อเนื่อง (Downtrend) เพราะราคาจะเคลื่อนที่ไปในทิศทางเดียวและหลุดกรอบเร็ว ทำให้กลยุทธ์ล้มเหลว