ทำความเข้าใจ Slippage ในการเทรด: สิ่งที่นักลงทุนควรรู้

Slippage คืออะไร? เข้าใจราคาคลาดเคลื่อนในตลาดการเทรดภายใน 60 วินาที

สำหรับนักเทรด ไม่ว่าจะในตลาด Forex หรือตลาดคริปโตเคอร์เรนซีที่เต็มไปด้วยความผันผวน การเจอคำว่า Slippage ถือเป็นเรื่องปกติที่ต้องพบเจออยู่บ่อยครั้ง แต่คำนี้แท้จริงแล้วหมายถึงอะไร? หากพูดให้เข้าใจง่ายที่สุด Slippage คือ ช่องว่างระหว่าง “ราคาที่คุณคาดหวัง” ขณะกดส่งคำสั่ง กับ “ราคาจริง” ที่คำสั่งของคุณถูกดำเนินการสำเร็จในตลาด

illustration of price movement in trading

ลองนึกภาพเช่นนี้ สมมติว่าคุณต้องการซื้อเหรียญคริปโต A ในราคา 100 บาทต่อเหรียญ และคุณกดสั่งซื้อทันที แต่ในช่วงเวลาเพียงเสี้ยววินาทีก่อนที่คำสั่งจะเข้าถึงตลาด ราคาของเหรียญ A อาจมีการเปลี่ยนแปลงไปแล้ว ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจึงอาจมีได้ 3 รูปแบบ:

  • คุณได้ซื้อที่ 100.50 บาท (แพงกว่าที่ตั้งใจ)
  • คุณได้ซื้อที่ 99.50 บาท (ถูกกว่าที่คาดไว้)
  • คุณได้ซื้อที่ 100 บาทพอดี (ตรงเป๊ะตามที่ต้องการ)

ความต่างของ 0.50 บาทในสองกรณีแรกนี้ คือสิ่งที่เรียกว่า Slippage ซึ่งบ่งชี้ว่า Slippage ไม่ใช่เรื่องร้ายเสมอไป เพราะมันสามารถเกิดในทิศทางที่เป็นประโยชน์หรือเป็นภาระก็ได้ ขึ้นอยู่กับทิศทางของราคาที่เปลี่ยนแปลงไปในช่วงเวลาที่คำสั่งกำลังดำเนินการ

เหตุผลหลักที่ทำให้เกิด Slippage นักเทรดควรรู้ก่อนเข้าตลาด

การเข้าใจต้นเหตุของ Slippage จะช่วยให้คุณสามารถวางแผนการเทรดได้อย่างแม่นยำ และลดความเสี่ยงที่อาจส่งผลต่อผลกำไรได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งปัจจัยหลักที่ทำให้เกิดราคาคลาดเคลื่อนนี้ มีด้วยกัน 3 ประการที่ควรจับตามอง

ความผันผวนของตลาด (Market Volatility)

ในช่วงเวลาที่ราคาเคลื่อนไหวอย่างรุนแรง เช่น ขณะมีการประกาศข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญ หรือข่าวใหญ่ระดับโลก ความผันผวนจะพุ่งสูงขึ้นอย่างฉับพลัน ทำให้ราคาสินทรัพย์เปลี่ยนแปลงหลายครั้งในเวลาไม่กี่วินาที ซึ่งหมายความว่า แม้คุณจะกดส่งคำสั่งที่ราคาหนึ่ง แต่เมื่อคำสั่งนั้นเดินทางไปถึงตลาด ราคาอาจไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว ตามคำอธิบายจาก Investopedia ยิ่งตลาดมีความผันผวนสูง ความเสี่ยงที่ราคาจะคลาดเคลื่อนจากที่คาดหวังก็ยิ่งเพิ่มขึ้นตามไปด้วย

สภาพคล่องต่ำ (Low Liquidity)

สภาพคล่องคือปริมาณของคำสั่งซื้อขายที่มีอยู่ในตลาด หากสินทรัพย์ที่คุณเทรดมีผู้เข้าร่วมซื้อขายไม่มาก หรือมีปริมาณคำสั่งในหนังสือคำสั่ง (order book) บาง คำสั่งของคุณอาจไม่สามารถจับคู่ได้ทั้งหมดที่ราคาที่ตั้งใจไว้ ทำให้ระบบต้องดึงราคาจากเลเยอร์ถัดไป ซึ่งมักจะเป็นราคาที่เลวร้ายลงเรื่อยๆ ส่งผลให้เกิด Slippage อย่างชัดเจน โดยเฉพาะในเหรียญคริปโตขนาดเล็ก หรือคู่เงินรองในตลาด Forex ที่มีปริมาณการซื้อขายไม่สูง

ความเร็วในการดำเนินการ (Execution Speed)

ความล่าช้าในการส่งคำสั่ง หรือที่เรียกว่า Latency ก็มีบทบาทสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นความเร็วอินเทอร์เน็ตของคุณ เซิร์ฟเวอร์ของโบรกเกอร์ หรือระยะทางระหว่างเซิร์ฟเวอร์กับศูนย์กลางการซื้อขาย ทุกมิลลิวินาทีที่ล่าช้า คือโอกาสที่ราคาจะเปลี่ยนแปลงไปก่อนที่คำสั่งของคุณจะถูกดำเนินการ ดังนั้น โบรกเกอร์ที่มีโครงสร้างพื้นฐานที่ทันสมัย ตั้งอยู่ใกล้กับศูนย์กลางการซื้อขาย เช่น Moneta Markets ซึ่งให้บริการด้วยระบบ STP (Straight Through Processing) และรองรับการเชื่อมต่อผ่าน VPS จึงช่วยลดความล่าช้าและโอกาสเกิด Slippage ได้อย่างมีนัยสำคัญ

visual representation of slippage effect

Slippage มีกี่ประเภท? ไม่ใช่แค่เรื่องเสียอย่างเดียว

หลายคนมักมอง Slippage เป็นสิ่งที่ไม่ดี แต่ความจริงคือ มันสามารถเกิดได้ทั้งในทิศทางที่ดีและไม่ดี แบ่งออกได้เป็น 3 ประเภทหลัก ดังนี้

Negative Slippage (ราคาคลาดเคลื่อนเชิงลบ)

นี่คือสิ่งที่นักเทรดส่วนใหญ่กังวล คือการได้ราคาที่ “แย่กว่า” ที่คาดไว้

  • กรณีซื้อ: ตั้งใจซื้อที่ 100 บาท แต่ได้มาในราคา 100.50 บาท (ต้องจ่ายมากขึ้น)
  • กรณีขาย: ตั้งใจขายที่ 100 บาท แต่ได้แค่ 99.50 บาท (ได้รับน้อยลง)

Negative Slippage มักเกิดในช่วงที่ตลาดผันผวนหนัก หรือในสินทรัพย์ที่มีสภาพคล่องต่ำ ซึ่งอาจกินกำไรของคุณไปโดยไม่ทันได้สังเกต

Positive Slippage (ราคาคลาดเคลื่อนเชิงบวก)

ในทางตรงกันข้าม นี่คือของขวัญที่ไม่ได้ตั้งใจขอ Positive Slippage เกิดขึ้นเมื่อคุณได้ราคา “ดีกว่า” ที่คาดหวัง

  • กรณีซื้อ: ตั้งใจซื้อที่ 100 บาท แต่ได้มาในราคา 99.50 บาท (ซื้อถูกกว่า)
  • กรณีขาย: ตั้งใจขายที่ 100 บาท แต่ได้ 100.50 บาท (ขายได้สูงขึ้น)

สถานการณ์นี้อาจเกิดขึ้นเมื่อตลาดเคลื่อนตัวในทิศทางที่เอื้อต่อคุณในช่วงที่คำสั่งกำลังดำเนินการ ถือเป็นโบนัสที่ทำให้กำไรเพิ่มขึ้นโดยไม่ต้องทำอะไรเพิ่ม

No Slippage (ไม่มีการคลาดเคลื่อน)

นี่คือสถานการณ์ในอุดมคติ ที่คุณได้ราคาที่ตั้งใจไว้เป๊ะๆ ไม่ว่าจะเป็นการซื้อหรือขาย ซึ่งมักเกิดขึ้นในสินทรัพย์ที่มีสภาพคล่องสูง เช่น BTC/USD หรือ EUR/USD หรือเมื่อใช้คำสั่งประเภท Limit Order ที่กำหนดราคาชัดเจน

วิธีควบคุมและลดความเสี่ยงจาก Slippage ให้มีประสิทธิภาพ

แม้ Slippage จะเป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติของตลาด แต่ก็สามารถจัดการได้ด้วยกลยุทธ์ที่เหมาะสม ดังนี้

  • ใช้คำสั่ง Limit Order: ช่วยล็อคราคาสูงสุดที่ยอมจ่าย (ในการซื้อ) หรือต่ำสุดที่ยอมขาย (ในการขาย) แม้อาจทำให้คำสั่งไม่สำเร็จถ้าตลาดเคลื่อนเร็ว แต่ก็ปลอดภัยจาก Negative Slippage
  • หลีกเลี่ยงการเทรดช่วงข่าวสำคัญ: ช่วงประกาศข้อมูลเศรษฐกิจ เช่น NFP, CPI หรืออัตราดอกเบี้ย ราคาอาจพุ่งหรือร่วงในเสี้ยววินาที การพักเทรดในช่วงนี้ช่วยลดความเสี่ยงได้มาก
  • แบ่งคำสั่งซื้อขายขนาดใหญ่: สำหรับนักเทรดที่ต้องการเคลื่อนย้ายปริมาณมาก การแบ่งคำสั่งออกเป็นชิ้นเล็กๆ จะช่วยลดแรงกระเพื่อมต่อตลาดและลดโอกาสเกิด Slippage ที่รุนแรง
  • เลือกเทรดสินทรัพย์ที่มีสภาพคล่องสูง: เช่น คู่เงินหลักใน Forex (EUR/USD, GBP/USD) หรือเหรียญใหญ่ในคริปโต (BTC, ETH) ที่มีคำสั่งซื้อขายหนาแน่น ช่วยให้คำสั่งของคุณถูกจับคู่ได้เร็วและราบรื่น
  • ทำความเข้าใจการตั้งค่า Slippage Tolerance: โดยเฉพาะใน DeFi การตั้งค่านี้ช่วยป้องกันการดำเนินการที่ราคาแย่เกินไป ซึ่งจะอธิบายต่อไป

เจาะลึก Slippage Tolerance ตั้งค่ายังไงให้ปลอดภัย?

ในโลกของ DeFi โดยเฉพาะบนแพลตฟอร์มเช่น Uniswap หรือ PancakeSwap คุณจะพบกับฟีเจอร์สำคัญที่เรียกว่า Slippage Tolerance ซึ่งเป็นค่าที่คุณต้องตั้งเองเพื่อกำหนดขีดจำกัดของความคลาดเคลื่อนที่ยอมรับได้

graphic showing market volatility impacts

เมื่อคุณทำธุรกรรมแลกเปลี่ยน (Swap) ระบบจะแสดงจำนวนเหรียญที่คาดว่าจะได้ แต่หากในระหว่างการยืนยันธุรกรรม ราคาเปลี่ยนไปเกินกว่าที่คุณตั้งไว้ ธุรกรรมจะถูกยกเลิกโดยอัตโนมัติ เพื่อปกป้องคุณจาก Negative Slippage ที่รุนแรง

ตัวอย่างเช่น: คุณต้องการแลก 1 BNB เป็น CAKE และระบบแสดงว่าจะได้ 100 CAKE ถ้าคุณตั้ง Slippage Tolerance ที่ 1% คุณยอมรับได้หากได้ 99–101 CAKE แต่ถ้าราคาเปลี่ยนจนคุณจะได้แค่ 98 CAKE ธุรกรรมจะล้มเหลวทันที

แนะนำการตั้งค่าตามประเภทสินทรัพย์:

  • Stablecoin (USDT, USDC): ตั้งไว้ที่ 0.1% – 0.5% เพราะราคาแทบไม่ผันผวน
  • สินทรัพย์หลัก (BTC, ETH, BNB): ใช้ 0.5% – 1% เพื่อความสมดุลระหว่างความสำเร็จของธุรกรรมและความปลอดภัย
  • เหรียญใหม่หรือผันผวนสูง: อาจต้องตั้งที่ 1% – 3% หรือมากกว่า เพื่อให้ธุรกรรมผ่าน แต่ต้องรับความเสี่ยงที่ราคาอาจคลาดเคลื่อนมากขึ้น

อย่างไรก็ตาม การตั้งค่า Slippage Tolerance สูงเกินไปอาจเปิดช่องให้เกิด Front-running ซึ่งเป็นกลยุทธ์ที่บอทใช้ดักคำสั่งของคุณเพื่อทำกำไรจากส่วนต่างราคาที่คุณยอมรับได้ ในทางกลับกัน ถ้าตั้งต่ำเกินไป คุณอาจเสียค่า Gas Fee ไปฟรีหลายครั้ง เพราะธุรกรรมล้มเหลวบ่อย ดังนั้น ตามที่ Binance Academy ชี้แจงไว้ การหาจุดสมดุลคือหัวใจสำคัญ

“โบรกเกอร์ที่ไม่มี Slippage” มีจริงหรือแค่โฆษณาเกินจริง?

คำโฆษณาเช่น “เทรดกับเรา ไม่มี Slippage” ฟังดูน่าสนใจ แต่ต้องตั้งสติให้ดี เพราะในความเป็นจริง Slippage เป็นปรากฏการณ์ตามธรรมชาติของตลาด ไม่ใช่ความผิดของโบรกเกอร์

โบรกเกอร์ที่อ้างว่า “ไม่มี Slippage” มักใช้ระบบ Instant Execution ซึ่งหมายความว่า ถ้าราคาเปลี่ยนไปหลังจากคุณกดสั่ง โบรกเกอร์จะไม่ดำเนินการทันที แต่จะ “Requote” หรือเสนอราคาใหม่ให้คุณยืนยันอีกครั้ง ซึ่งอาจทำให้คุณพลาดโอกาสหรือรู้สึกหงุดหงิดเมื่อต้องยืนยันซ้ำ

ในทางกลับกัน โบรกเกอร์ที่ใช้ Market Execution จะส่งคำสั่งไปยังตลาดทันที ณ ราคาที่ดีที่สุดในขณะนั้น ซึ่งอาจทำให้เกิดทั้ง Positive และ Negative Slippage แต่เป็นกลไกที่โปร่งใสและสะท้อนสภาพตลาดจริง

แทนที่จะตามหาโบรกเกอร์ที่ “ไม่มี Slippage” ซึ่งแทบไม่มีอยู่จริง ควรให้ความสำคัญกับปัจจัยเหล่านี้มากกว่า:

  • ความเร็วในการดำเนินการ: โบรกเกอร์ที่มีเซิร์ฟเวอร์คุณภาพสูง ใกล้ศูนย์กลางการซื้อขาย เช่น Moneta Markets ที่รองรับการเทรดผ่าน VPS และมี latency ต่ำ จะช่วยลดโอกาสเกิด Slippage ได้
  • ผู้ให้บริการสภาพคล่อง: โบรกเกอร์ที่เชื่อมต่อกับ LP หลายราย จะมีสภาพคล่องที่ดีขึ้น ทำให้คำสั่งจับคู่ได้ง่าย
  • ใบอนุญาตและความน่าเชื่อถือ: การเลือกโบรกเกอร์ที่ได้รับการกำกับดูแล เช่น FCA, ASIC หรือ CySEC จะช่วยให้มั่นใจว่าการเกิด Slippage เกิดขึ้นตามกลไกตลาดจริง ไม่ใช่การจัดการภายใน

Slippage คืออะไร?

Slippage คือความแตกต่างระหว่างราคาที่คาดหวังตอนส่งคำสั่งซื้อขาย กับราคาที่ได้ทำธุรกรรมจริงในตลาด ซึ่งสามารถเป็นได้ทั้งราคาที่ดีกว่า (Positive Slippage) หรือแย่กว่า (Negative Slippage) ที่คาดหวังไว้

Slippage Tolerance คืออะไร และควรตั้งค่าเท่าไหร่สำหรับมือใหม่?

Slippage Tolerance คือค่าความคลาดเคลื่อนของราคาสูงสุด (เป็น %) ที่คุณยอมรับได้ในการทำธุรกรรม โดยเฉพาะในตลาด DeFi สำหรับมือใหม่ แนะนำให้ตั้งค่าดังนี้:

  • Stablecoins: 0.1% – 0.5%
  • เหรียญหลัก (BTC, ETH): 0.5% – 1%
  • เหรียญผันผวนสูง: เริ่มต้นที่ 1% และปรับเพิ่มตามความจำเป็น แต่ควรระมัดระวังความเสี่ยง

Slippage ในตลาดคริปโต (DeFi) แตกต่างจากตลาด Forex อย่างไร?

ความแตกต่างหลักคือ ในตลาด DeFi ผู้ใช้มักจะต้องตั้งค่า “Slippage Tolerance” ด้วยตนเองบนแพลตฟอร์ม ในขณะที่ตลาด Forex โบรกเกอร์จะเป็นผู้จัดการเบื้องหลังผ่านประเภทของคำสั่ง (Market Order vs Limit Order) นอกจากนี้ ตลาดคริปโตอาจมีความผันผวนและปัญหาสภาพคล่องที่รุนแรงกว่าในบางสินทรัพย์ ทำให้มีโอกาสเกิด Slippage สูงกว่า

มีโบรกเกอร์ที่ไม่มี Slippage จริงหรือไม่?

ส่วนใหญ่เป็นคำทางการตลาด โบรกเกอร์ที่อ้างว่า “ไม่มี Slippage” มักใช้ระบบ “Instant Execution” ที่จะทำการ “Requote” (เสนอราคาใหม่) หากไม่สามารถจับคู่คำสั่งที่ราคาเดิมได้ แทนที่จะเกิด Slippage ซึ่งอาจทำให้คุณพลาดโอกาสในการเทรดได้ ดังนั้น Slippage จึงเป็นกลไกธรรมชาติของตลาดที่หลีกเลี่ยงได้ยาก

Positive Slippage เกิดขึ้นได้อย่างไร และเป็นเรื่องดีใช่ไหม?

Positive Slippage เกิดขึ้นเมื่อราคาเคลื่อนที่ไปในทิศทางที่เป็นประโยชน์กับคุณในระหว่างที่คำสั่งกำลังดำเนินการ เช่น คุณกดซื้อแล้วราคาตกลงเล็กน้อย หรือกดขายแล้วราคาสูงขึ้นเล็กน้อย ซึ่งถือเป็นเรื่องดีและเป็นเหมือนโบนัสสำหรับนักเทรด

Slippage กับ Spread แตกต่างกันอย่างไร?

Slippage และ Spread เป็นต้นทุนในการเทรดทั้งคู่ แต่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง:

  • Spread: คือส่วนต่างระหว่างราคาซื้อ (Ask) และราคาขาย (Bid) ซึ่งเป็นค่าบริการที่โบรกเกอร์กำหนดไว้ล่วงหน้าและเป็นต้นทุนที่ “แน่นอน” ที่คุณต้องจ่ายทุกครั้งที่เปิดออเดอร์
  • Slippage: คือความแตกต่างระหว่างราคาที่คาดหวังกับราคาที่ได้จริง เป็นต้นทุนที่ “ไม่แน่นอน” และเกิดขึ้น ณ เวลาที่คำสั่งถูกจับคู่ในตลาด

อ้างอิงจาก CMC Markets, Spread คือต้นทุนที่ทราบล่วงหน้า ในขณะที่ Slippage คือความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นได้จากการเคลื่อนไหวของตลาด

Max Slippage หรือ Maximum Slippage คืออะไร?

Max Slippage หรือ Maximum Slippage คือการตั้งค่าในบางแพลตฟอร์มการเทรด (เช่น MT4/MT5) ที่อนุญาตให้ผู้ใช้กำหนดขีดจำกัดสูงสุดของ Slippage ที่ยอมรับได้เป็นหน่วยจุด (Pips) สำหรับการส่งคำสั่ง ซึ่งทำงานคล้ายกับ Slippage Tolerance ในโลก DeFi หากราคาคลาดเคลื่อนเกินกว่าค่าที่กำหนดไว้ คำสั่งนั้นจะถูกยกเลิก

เราจะลดความเสี่ยงจาก Negative Slippage ได้อย่างไรบ้าง?

คุณสามารถลดความเสี่ยงได้โดย:

  • ใช้คำสั่ง Limit Order เพื่อล็อคราคา
  • หลีกเลี่ยงการเทรดในช่วงที่มีข่าวแรงและตลาดผันผวนสูง
  • เลือกเทรดสินทรัพย์ที่มีสภาพคล่องสูง
  • แบ่งคำสั่งซื้อขายขนาดใหญ่ออกเป็นหลายๆ คำสั่งย่อย
  • เลือกใช้โบรกเกอร์ที่มีความเร็วในการดำเนินการสูงและน่าเชื่อถือ

發佈留言

發佈留言必須填寫的電子郵件地址不會公開。 必填欄位標示為 *