บริกส์ยุคใหม่: การขยายตัวทางเศรษฐกิจและการปรับสมดุลอำนาจโลก
ในฐานะนักลงทุน ไม่ว่าคุณจะเป็นมือใหม่ที่เพิ่งก้าวเข้าสู่สนามการเงิน หรือนักเทรดผู้มากประสบการณ์ที่ต้องการเจาะลึกการวิเคราะห์เชิงมหภาค เราเชื่อว่าคุณคงได้ยินชื่อ “บริกส์” (BRICS) มาบ้างแล้ว กลุ่มประเทศที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นเพียงตัวย่อทางเศรษฐกิจ ได้วิวัฒนาการและขยายอิทธิพลจนกลายเป็นพลังขับเคลื่อนสำคัญในเวทีโลกยุคใหม่ บทความนี้จะพาคุณไปสำรวจการเดินทางของ BRICS+ ตั้งแต่จุดเริ่มต้นจนถึงการเป็นขั้วอำนาจทางเศรษฐกิจที่ท้าทายระเบียบโลกเดิม พร้อมทั้งวิเคราะห์นัยยะสำคัญที่ประเทศไทยในฐานะ “ประเทศหุ้นส่วน” กำลังเผชิญหน้าอยู่
เราจะเจาะลึกถึงแรงผลักดัน เบื้องหลังการขยายตัว วัตถุประสงค์เชิงยุทธศาสตร์ และความท้าทายที่รออยู่ข้างหน้า คุณจะได้เห็นภาพรวมที่ชัดเจนว่าการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้จะส่งผลกระทบต่อภูมิทัศน์การลงทุนและเศรษฐกิจโลกอย่างไรบ้าง พร้อมทั้งทำความเข้าใจว่าทำไมการทำความรู้จักกับ บริกส์ จึงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับนักลงทุนในยุคปัจจุบัน
การเดินทางของบริกส์: จาก BRIC สู่ BRICS+ และสมาชิกใหม่
กลุ่ม บริกส์ ไม่ได้ถือกำเนิดขึ้นมาพร้อมกับชื่อนี้ในทันที จุดเริ่มต้นย้อนกลับไปในปี 2544 เมื่อ จิม โอนีลล์ (Jim O’Neill) นักเศรษฐศาสตร์จาก Goldman Sachs ได้นำเสนอแนวคิด “BRIC” ซึ่งเป็นตัวย่อของสี่ประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ที่มีศักยภาพการเติบโตสูง ได้แก่ บราซิล (Brazil), รัสเซีย (Russia), อินเดีย (India), และ จีน (China) เขาคาดการณ์ว่าภายในปี 2593 เศรษฐกิจของกลุ่ม BRIC จะมีขนาดใหญ่กว่ากลุ่ม G7 ด้วยซ้ำ แนวคิดนี้จุดประกายให้ประเทศเหล่านี้ตระหนักถึงพลังร่วมของตนเอง
ในปี 2549 การรวมกลุ่มอย่างเป็นทางการของสี่ประเทศนี้ได้ถือกำเนิดขึ้นภายใต้ชื่อ BRIC โดยมีการจัดการประชุมสุดยอดครั้งแรกที่เมืองเยคาเตรินบุร์ก ประเทศรัสเซีย ในปี 2552 เป้าหมายหลักในระยะแรกคือการประสานงานนโยบายทางเศรษฐกิจและการเงิน เพื่อเพิ่มบทบาทและเสียงของกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาในเวทีโลกที่เคยถูกครอบงำโดยประเทศพัฒนาแล้วจากโลกตะวันตก
จุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้นในวันที่ 13 เมษายน 2554 เมื่อ แอฟริกาใต้ (South Africa) ได้เข้าร่วมเป็นสมาชิกลำดับที่ห้า ทำให้ชื่อกลุ่มเปลี่ยนเป็น BRICS อย่างที่เราคุ้นเคยในปัจจุบัน การเข้าร่วมของแอฟริกาใต้ทำให้กลุ่มนี้ครอบคลุมทวีปที่สำคัญของโลกได้มากขึ้น และเพิ่มมิติทางภูมิรัฐศาสตร์ที่หลากหลายให้แก่กลุ่ม
ล่าสุด ในวันที่ 1 มกราคม 2567 กลุ่ม BRICS ได้ต้อนรับสมาชิกใหม่อีก 5 ชาติอย่างเป็นทางการ ได้แก่ อียิปต์ (Egypt), เอธิโอเปีย (Ethiopia), อิหร่าน (Iran), ซาอุดีอาระเบีย (Saudi Arabia), และ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (United Arab Emirates) การขยายตัวครั้งนี้สะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ของกลุ่มที่กำลังก้าวไปสู่ “BRICS+” (หรือ BRICS Plus) ซึ่งไม่ใช่เพียงการรวมตัวทางเศรษฐกิจเท่านั้น แต่เป็นการรวมพลังทางภูมิรัฐศาสตร์ครั้งสำคัญ
นอกจากสมาชิกเต็มรูปแบบแล้ว กลุ่ม BRICS ยังได้ริเริ่มการเปิดรับ “ประเทศหุ้นส่วน” (Partner Countries) และนับเป็นข่าวดีสำหรับประเทศไทยที่ได้แจ้งความจำนงค์เข้าร่วมเป็นสมาชิกตั้งแต่ต้นปี 2566 และได้รับการตอบรับให้เป็นประเทศหุ้นส่วน ซึ่งจะเริ่มมีผลอย่างเป็นทางการในวันที่ 1 มกราคม 2568 พร้อมกับอีกสองประเทศคือ แอลจีเรีย (Algeria) และ โบลิเวีย (Bolivia) การเคลื่อนไหวนี้บ่งชี้ถึงความมุ่งมั่นของ BRICS ที่จะขยายขอบเขตอิทธิพลและสร้างเครือข่ายความร่วมมือที่กว้างขวางยิ่งขึ้น
พลังทางเศรษฐกิจและวาระเชิงยุทธศาสตร์: เบื้องหลังการรวมกลุ่มของบริกส์
การรวมกลุ่มของ BRICS+ ไม่ใช่เพียงการเพิ่มจำนวนประเทศ แต่เป็นการรวมพลังทางเศรษฐกิจและประชากรที่น่าจับตาอย่างยิ่ง หลังการขยายตัว กลุ่มนี้ครอบคลุมประชากรประมาณ 3.5 – 4 พันล้านคน ซึ่งคิดเป็น 45% – 50% ของประชากรโลก เลยทีเดียว ในแง่ของขนาดเศรษฐกิจ กลุ่ม BRICS เดิมมีมูลค่าเศรษฐกิจรวมกว่า 28.5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 28% ของเศรษฐกิจโลก และเมื่อรวมกับสมาชิกใหม่ ตัวเลขเหล่านี้ย่อมขยายตัวสูงขึ้นไปอีก
ประเทศส่วนใหญ่ในกลุ่ม BRICS+ | ประชากร (พันล้าน) | เศรษฐกิจ (ล้านล้านดอลลาร์) |
---|---|---|
บราซิล | 0.213 | 2.055 |
รัสเซีย | 0.145 | 1.775 |
อินเดีย | 1.428 | 3.469 |
จีน | 1.412 | 14.338 |
แอฟริกาใต้ | 0.059 | 0.351 |
อียิปต์ | 0.104 | 0.435 |
เอธิโอเปีย | 0.118 | 0.111 |
อิหร่าน | 0.090 | 0.392 |
ซาอุดีอาระเบีย | 0.034 | 0.788 |
ยูเออี | 0.009 | 0.480 |
นอกจากนี้ ในภาคพลังงาน BRICS+ กลายเป็นผู้เล่นหลัก โดยผลิตน้ำมันดิบประมาณ 44% ของตลาดโลก ซึ่งถือเป็นปัจจัยสำคัญในการกำหนดทิศทางราคาพลังงานและเสถียรภาพทางเศรษฐกิจทั่วโลก ขีดความสามารถทางเศรษฐกิจเหล่านี้ทำให้ BRICS มีพลังต่อรองที่สูงขึ้นในเวทีระหว่างประเทศ
วัตถุประสงค์หลักของการรวมกลุ่มนี้ คือการเรียกร้อง “การเป็นตัวแทนและเสียงที่ยิ่งใหญ่” จากกลุ่มเศรษฐกิจที่กำลังเติบโต โดยมีเป้าหมายเพื่อลดการพึ่งพาชาติตะวันตก และสร้าง “ระเบียบโลกใหม่แบบหลายขั้วอำนาจ” ที่มีความสมดุลมากขึ้น พวกเขาเชื่อว่าระบบการเงินและองค์กรระหว่างประเทศที่มีอยู่เดิม ไม่ได้สะท้อนถึงน้ำหนักทางเศรษฐกิจและประชากรของประเทศกำลังพัฒนาอย่างเพียงพอ
ธนาคารเพื่อการพัฒนาใหม่ (NDB): เครื่องมือทางการเงินที่ก้าวหน้า
หนึ่งในกลไกสำคัญที่สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของ BRICS ในการสร้างทางเลือกใหม่ทางเศรษฐกิจ คือการก่อตั้ง ธนาคารเพื่อการพัฒนาใหม่ (New Development Bank – NDB) ในปี 2557 หรือที่รู้จักกันในชื่อ “ธนาคารบริกส์” NDB มีบทบาทสำคัญในการให้เงินกู้แก่ประเทศกำลังพัฒนา เพื่อใช้ในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและโครงการพัฒนาที่ยั่งยืน
ณ สิ้นปี 2565 NDB ได้ปล่อยเงินกู้รวมเกือบ 3.2 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อสนับสนุนโครงการต่างๆ เช่น ถนน สะพาน รางรถไฟ พลังงานสะอาด และน้ำประปา ซึ่งเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่งต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและยกระดับคุณภาพชีวิตในประเทศสมาชิกและประเทศกำลังพัฒนาอื่นๆ NDB จึงเป็นเสมือนทางเลือกใหม่ในการเข้าถึงแหล่งเงินทุน ที่แตกต่างจากสถาบันการเงินที่ถูกครอบงำโดยโลกตะวันตกอย่างธนาคารโลก (World Bank) หรือกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF)
การมี NDB เป็นของตัวเอง ทำให้ประเทศสมาชิก BRICS มีอิสระในการกำหนดทิศทางการพัฒนาและลดการพึ่งพิงเงื่อนไขที่อาจมาพร้อมกับเงินกู้จากสถาบันแบบเดิม นี่คือตัวอย่างที่ชัดเจนว่ากลุ่ม BRICS กำลังสร้างโครงสร้างทางการเงินที่เป็นของตนเอง เพื่อสนับสนุนวิสัยทัศน์ของระเบียบโลกใหม่ที่สมดุลมากขึ้น
ปริศนาสกุลเงินบริกส์: ความท้าทายในการท้าทายดอลลาร์สหรัฐ
ประเด็นที่สร้างความสนใจและถกเถียงอย่างมากในหมู่ผู้สังเกตการณ์เศรษฐกิจทั่วโลก คือข้อเสนอเกี่ยวกับการสร้าง “สกุลเงินใหม่ของบริกส์” หรือสกุลเงินร่วมของกลุ่ม เพื่อลดการพึ่งพา สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งครองอำนาจเป็นสกุลเงินสำรองและสกุลเงินหลักในการค้าระหว่างประเทศมาอย่างยาวนาน แนวคิดนี้เป็นส่วนหนึ่งของความพยายามในการ “ลดการใช้เงินดอลลาร์” (De-dollarization) ที่กำลังเป็นกระแสในหลายประเทศ
อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญหลายท่านมองว่าการสร้างสกุลเงินร่วมที่สามารถใช้เป็นสื่อกลางในการชำระหนี้และเป็นทุนสำรองระหว่างประเทศนั้นยัง “ไม่เป็นรูปธรรม” และอาจ “ไม่สามารถทำได้ในทางปฏิบัติ” ในระยะเวลาอันใกล้ เหตุผลหลักคือความแตกต่างทางเศรษฐกิจและโครงสร้างนโยบายการเงินของประเทศสมาชิกแต่ละประเทศ ตั้งแต่ประเทศที่มีระบบเศรษฐกิจแบบเปิดอย่างบราซิลและอินเดีย ไปจนถึงจีนที่มีการควบคุมเงินทุนอย่างเข้มงวด และรัสเซียที่เผชิญมาตรการคว่ำบาตร ความแตกต่างเหล่านี้ทำให้ยากต่อการกำหนดนโยบายการเงินร่วมกัน และสร้างกลไกที่น่าเชื่อถือสำหรับสกุลเงินร่วม
แม้จะมีความท้าทาย แต่แนวคิดนี้ยังคงเป็นเป้าหมายระยะยาว และอาจเริ่มต้นจากแนวคิดที่ยืดหยุ่นมากขึ้น เช่น การใช้ สกุลเงินท้องถิ่น ในการชำระด้านการค้าระหว่างประเทศสมาชิก หรือการสำรวจความเป็นไปได้ของ สกุลเงินดิจิทัล ที่ได้รับการสนับสนุนจากสินทรัพย์ ซึ่งอาจเป็นทางออกที่เป็นไปได้มากกว่าในอนาคต แต่ไม่ว่าอย่างไร การเคลื่อนไหวเหล่านี้ย่อมส่งผลต่อภูมิทัศน์ของ การค้าระหว่างประเทศ และตลาด สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ ที่เราคุ้นเคย
การเปลี่ยนแปลงในโครงสร้างการเงินโลกเป็นเรื่องที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด เพราะมันส่งผลกระทบต่ออัตราแลกเปลี่ยนและโอกาสในการลงทุน หากคุณเป็นนักลงทุนที่สนใจในความผันผวนของตลาด สกุลเงิน และกำลังมองหาแพลตฟอร์มที่ยืดหยุ่นและมีเครื่องมือวิเคราะห์ที่หลากหลายเพื่อรับมือกับแนวโน้มเหล่านี้ เราขอแนะนำ Moneta Markets ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มจากออสเตรเลียที่นำเสนอสินค้าทางการเงินกว่า 1,000 รายการ รวมถึง ค่าสัญญาซื้อขายส่วนต่าง (CFD) ที่ครอบคลุมทั้งคู่สกุลเงิน ดัชนี และสินค้าโภคภัณฑ์ ทำให้คุณสามารถเข้าถึงโอกาสการลงทุนในตลาดโลกที่กำลังเปลี่ยนแปลงไป
บริกส์กับการแบ่งขั้วอำนาจโลก: มุมมองจากมหาอำนาจหลัก
การขยายตัวของ BRICS ไม่ได้เป็นเพียงการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจเท่านั้น แต่ยังเป็นปรากฏการณ์ทาง ภูมิรัฐศาสตร์ ที่สะท้อนถึงการแบ่งขั้วอำนาจโลกที่ชัดเจนขึ้น แรงจูงใจเบื้องหลังการเคลื่อนไหวนี้มาจากเป้าหมายเชิงยุทธศาสตร์ของสมาชิกหลักหลายประเทศ โดยเฉพาะ จีน และ รัสเซีย
บทบาทของจีน: การสร้างอิทธิพลและนำทัพซีกโลกใต้
จีน มอง บริกส์ เป็นเวทีสำคัญในการขยายอำนาจและอิทธิพลของตนเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งใน ทวีปแอฟริกา และการเป็นพลังนำในกลุ่มประเทศ “ซีกโลกทางใต้” (Global South) จีนซึ่งเป็นเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดในกลุ่มบริกส์ มีบทบาทอย่างมากในการผลักดันวาระการขยายสมาชิกและเพิ่มขีดความสามารถของ NDB เพื่อสร้างระบบที่ท้าทายความเป็นหนึ่งเดียวของชาติตะวันตก จีนต้องการเห็นระเบียบโลกแบบ “พหุภาคี” ที่มากขึ้น ซึ่งสะท้อนถึงความแข็งแกร่งของตนเองในฐานะมหาอำนาจโลก
ความเคลื่อนไหวนี้ยังสอดคล้องกับโครงการ Belt and Road Initiative (BRI) ของจีน ซึ่งมุ่งเน้นการเชื่อมโยงโครงสร้างพื้นฐานและส่งเสริมการค้าการลงทุนกับประเทศกำลังพัฒนาทั่วโลก การที่ประเทศในแอฟริกา ตะวันออกกลาง และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เข้าร่วมเป็นสมาชิกหรือประเทศหุ้นส่วนของ BRICS+ ยิ่งเป็นการตอกย้ำบทบาทของจีนในการเป็นผู้ขับเคลื่อนหลักของการเปลี่ยนแปลงนี้
บทบาทของรัสเซีย: การตอบโต้ตะวันตกผ่านเวทีบริกส์
สำหรับ รัสเซีย การเป็นสมาชิกของ บริกส์ ถือเป็นส่วนสำคัญในการต่อสู้กับชาติตะวันตกและเพื่อเอาชนะมาตรการ “คว่ำบาตร” ทางเศรษฐกิจที่ถูกกำหนดขึ้นจากการบุกโจมตี ยูเครน กลุ่ม BRICS เป็นช่องทางให้รัสเซียสามารถรักษาความสัมพันธ์ทางการค้าและสร้างเครือข่ายทางการเงินใหม่ๆ เพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบจากการถูกโดดเดี่ยวจากระบบการเงินโลกที่นำโดยสหรัฐฯ
ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ได้ใช้เวทีการประชุมสุดยอด บริกส์ หลายครั้งเพื่อเน้นย้ำถึงความจำเป็นในการสร้างระเบียบโลกใหม่ที่ยุติธรรมและสมดุลมากขึ้น ซึ่งเป็นวาทศิลป์ที่สอดคล้องกับประเทศสมาชิกอื่นๆ ที่ต้องการลดการพึ่งพามหาอำนาจตะวันตก การเข้าร่วมของอิหร่านซึ่งมีท่าทีต่อต้านชาติตะวันตกอย่างชัดเจน ยิ่งสะท้อนให้เห็นถึงแนวร่วมที่มีเป้าหมายร่วมกันในการท้าทายระเบียบโลกเดิม
ประเทศไทยกับบริกส์+: โอกาสใหม่ในตลาดโลก
การที่ ประเทศไทย ได้รับการตอบรับให้เป็น “ประเทศหุ้นส่วน” ของ BRICS+ นับเป็นย่างก้าวเชิงยุทธศาสตร์ที่สำคัญ และเปิดประตูสู่โอกาสใหม่ๆ สำหรับเศรษฐกิจไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคที่กระแสการแบ่งขั้วทางเศรษฐกิจกำลังชัดเจนขึ้น การเป็นส่วนหนึ่งของ BRICS+ นำมาซึ่งประโยชน์หลายประการ:
- การเข้าถึงตลาดใหม่และขยายโอกาสทางการค้า: กลุ่ม BRICS+ ครอบคลุมประชากรเกือบครึ่งหนึ่งของโลก ซึ่งเป็นตลาดผู้บริโภคขนาดมหึมา การเข้าร่วมเป็นหุ้นส่วนจะช่วยให้ผู้ประกอบการไทยสามารถเข้าถึงตลาดเหล่านี้ได้ง่ายขึ้น ลดอุปสรรคทางการค้า และเพิ่มช่องทางการส่งออกสินค้าและบริการ โดยปัจจุบันการค้าของไทยกับกลุ่ม BRICS มีสัดส่วน 22.8% ของการค้ารวมทั้งหมด ซึ่งใกล้เคียงกับกลุ่ม G7 (26.2%) แสดงให้เห็นถึงศักยภาพที่ยังสามารถเติบโตได้อีกมาก
- ทางเลือกในการชำระเงินด้วยสกุลเงินท้องถิ่น: หนึ่งในเป้าหมายของ BRICS คือการลดการพึ่งพาเงินดอลลาร์สหรัฐ การที่ประเทศไทยสามารถใช้ สกุลเงินท้องถิ่น ในการชำระค่าสินค้าและบริการกับประเทศสมาชิก BRICS ได้ จะช่วยลดความเสี่ยงจากความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนเงินดอลลาร์ และประหยัดต้นทุนในการทำธุรกรรมระหว่างประเทศ
- การเข้าถึงแหล่งเงินทุนเพื่อการพัฒนา: การเป็นหุ้นส่วนกับ BRICS อาจเปิดโอกาสให้ประเทศไทยเข้าถึงเม็ดเงินลงทุนและเงินกู้เพื่อการพัฒนาทางเศรษฐกิจจาก ธนาคารเพื่อการพัฒนาใหม่ (NDB) ซึ่งเป็นอีกทางเลือกนอกเหนือจากสถาบันการเงินดั้งเดิม NDB เน้นการสนับสนุนโครงสร้างพื้นฐานและโครงการพัฒนาที่ยั่งยืน ซึ่งสอดคล้องกับความต้องการของประเทศไทยในการยกระดับขีดความสามารถทางการแข่งขัน
- การเพิ่มบทบาทในระบบพหุภาคี: การเข้าร่วม BRICS+ จะช่วยยกระดับบทบาทของประเทศไทยในเวทีโลก ทำให้มีเสียงและอิทธิพลมากขึ้นในการร่วมกำหนดทิศทางเศรษฐกิจและการเมืองระหว่างประเทศ โดยเฉพาะในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับประเทศกำลังพัฒนา
- ความมั่นคงด้านอาหารและพลังงาน: การรวมกลุ่มของประเทศผู้ผลิตอาหารและพลังงานรายใหญ่ใน BRICS+ อาจนำไปสู่ความร่วมมือที่ช่วยเพิ่มความมั่นคงด้านเสบียงสำหรับประเทศไทย ท่ามกลางความไม่แน่นอนของห่วงโซ่อุปทานโลก
ความท้าทายสำหรับประเทศไทย: การรักษาสมดุลในภูมิทัศน์สองขั้ว
แม้ว่าการเข้าร่วมเป็นประเทศหุ้นส่วนกับ BRICS+ จะนำมาซึ่งโอกาสมากมาย แต่เราก็ต้องไม่ลืมว่าโลกกำลังเผชิญกับกระแส “การแบ่งขั้ว” ทางเศรษฐกิจและภูมิรัฐศาสตร์ที่ชัดเจนขึ้นอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน การตัดสินใจเข้าร่วมกลุ่มนี้จึงมาพร้อมกับความท้าทายที่ประเทศไทยต้องบริหารจัดการอย่างรอบคอบ:
- ความเสี่ยงจากมาตรการกีดกันทางการค้า: การที่ประเทศไทยเอนเอียงเข้าหากลุ่ม BRICS+ มากเกินไป อาจทำให้เกิดความไม่พอใจจากคู่ค้าฝั่งตะวันตก โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกาและสหภาพยุโรป ซึ่งยังคงเป็นตลาดส่งออกและแหล่งลงทุนสำคัญของไทย การเผชิญกับ “มาตรการกีดกันทางการค้า” หรือการถูกลดความสำคัญทางการค้าอาจเป็นสิ่งที่เราต้องพิจารณาอย่างจริงจัง
- การรักษาสมดุลความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ: ประเทศไทยดำเนินนโยบายต่างประเทศแบบ “ไม้ไผ่ลู่ลม” มาโดยตลอด นั่นคือการเป็นมิตรกับทุกฝ่ายและไม่เลือกข้างชัดเจน แต่ในสถานการณ์ที่โลกแบ่งขั้วเช่นนี้ การรักษาสมดุลระหว่างอำนาจเก่าและอำนาจใหม่ย่อมเป็นเรื่องที่ซับซ้อนและต้องใช้ความระมัดระวังอย่างยิ่ง เพื่อไม่ให้ประเทศต้องตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก
- ความแตกต่างในระบบเศรษฐกิจและการเมือง: ภายในกลุ่ม BRICS+ เองก็มีความหลากหลายอย่างมาก ทั้งในด้านระบบการเมือง โครงสร้างเศรษฐกิจ และผลประโยชน์แห่งชาติ การประสานความร่วมมือและการหาจุดร่วมที่ทุกฝ่ายพอใจย่อมเป็นเรื่องที่ท้าทาย และอาจนำมาซึ่งความขัดแย้งภายในกลุ่มเอง
- ความคาดหวังที่แตกต่างกัน: ประเทศสมาชิกแต่ละรายของ BRICS มีเป้าหมายและแรงผลักดันที่แตกต่างกันออกไป บางประเทศอาจต้องการลดการพึ่งพาดอลลาร์อย่างจริงจัง บางประเทศอาจสนใจเพียงโอกาสทางการค้าและลงทุนเท่านั้น ไทยจำเป็นต้องทำความเข้าใจถึงความคาดหวังเหล่านี้ เพื่อวางตำแหน่งและบทบาทของตนเองได้อย่างเหมาะสม
การตัดสินใจเชิงยุทธศาสตร์: ไทยควรเดินหน้าอย่างไรในบริกส์+
เมื่อมองถึงโอกาสและความท้าทายที่กล่าวมา คุณในฐานะผู้ที่ติดตามข่าวสารเศรษฐกิจคงเห็นแล้วว่าการตัดสินใจของประเทศไทยที่จะเข้าร่วมเป็นประเทศหุ้นส่วนกับ BRICS+ นั้นเป็นทั้งโอกาสและกับดักที่ต้องบริหารจัดการอย่างมีวิสัยทัศน์
ผู้เชี่ยวชาญบางท่าน อย่างเช่น นายสมชาย ภคภาสน์วิวัฒน์ ได้เคยให้ข้อเสนอแนะว่า ประเทศไทย ควรเข้าร่วมในลักษณะ “ผู้สังเกตการณ์” ไปก่อนในระยะแรก เพื่อศึกษาข้อดีข้อเสียอย่างรอบด้าน ก่อนที่จะตัดสินใจก้าวเข้าสู่การเป็นสมาชิกเต็มรูปแบบ การกระทำเช่นนี้จะช่วยให้เราสามารถประเมินสถานการณ์ได้อย่างถี่ถ้วน และวางแผนกลยุทธ์ที่เหมาะสมที่สุดสำหรับผลประโยชน์ของประเทศในระยะยาว
การเป็นประเทศหุ้นส่วนอาจเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี ที่ทำให้ไทยได้เรียนรู้และสร้างความคุ้นเคยกับพลวัตภายในกลุ่ม โดยไม่ต้องแบกรับภาระผูกพันหรือความเสี่ยงทางการเมืองที่หนักหน่วงจนเกินไป เราสามารถใช้โอกาสนี้ในการสร้างเครือข่ายทางการค้า การลงทุน และความร่วมมือด้านอื่นๆ ที่เป็นประโยชน์ โดยยังคงรักษาสมดุลกับคู่ค้าและพันธมิตรเดิมได้อย่างมีประสิทธิภาพ
บริกส์ในบริบทโลก: การทำงานร่วมกับ G7 และ G20
ในภูมิทัศน์เศรษฐกิจโลกที่มีความซับซ้อน คำถามสำคัญคือ BRICS จะดำเนินบทบาทอย่างไรเมื่อเทียบกับกลุ่มเศรษฐกิจอื่นๆ อย่าง G7 และ G20 บางความเห็นมองว่า BRICS อาจเป็น “คู่ขนาน” กับ G20 ซึ่งเป็นเวทีที่รวมทั้งประเทศพัฒนาแล้วและกำลังพัฒนาเข้าไว้ด้วยกัน ในขณะที่ G7 เป็นกลุ่มของประเทศพัฒนาแล้วที่มีอำนาจทางเศรษฐกิจสูง
BRICS มีเป้าหมายที่ชัดเจนในการเรียกร้องให้มีการปฏิรูปสถาบันการเงินระหว่างประเทศ เพื่อให้เสียงของประเทศกำลังพัฒนาได้รับการรับฟังมากขึ้น พวกเขาอาจทำงานร่วมกับ G20 ในบางประเด็นเพื่อผลักดันการแก้ไขปัญหาโลก เช่น การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ หรือความมั่นคงด้านอาหาร
อย่างไรก็ตาม ก็มีแนวโน้มที่ BRICS อาจเป็นพลังที่ “ลดทอนอำนาจ” ของสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐและสถาบันการเงินที่นำโดยชาติตะวันตก หากการเคลื่อนย้ายเงินทุนระหว่างชาติกำลังพัฒนาเพิ่มขึ้น และการค้าในสกุลเงินท้องถิ่นแพร่หลายมากขึ้นในอนาคต
ไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร การผงาดขึ้นของ BRICS ถือเป็นสัญญาณที่ชัดเจนว่าโลกกำลังก้าวเข้าสู่ยุคของ “หลายขั้วอำนาจ” ซึ่งหมายความว่านักลงทุนอย่างคุณจะต้องปรับตัวและทำความเข้าใจถึงพลวัตใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นในตลาดโลกอย่างต่อเนื่อง การกระจายความเสี่ยงและโอกาสในการลงทุนไปยังตลาดเกิดใหม่ในกลุ่ม BRICS+ อาจเป็นกลยุทธ์ที่น่าสนใจสำหรับการเติบโตในระยะยาว
สำหรับการตัดสินใจลงทุนในตลาดที่กำลังเปลี่ยนแปลง เราเข้าใจว่าคุณต้องการเครื่องมือและแพลตฟอร์มที่ไว้ใจได้ Moneta Markets นำเสนอทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนที่ต้องการสำรวจโอกาสในตลาด การซื้อขายแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ (Forex) และ CFD พวกเขารองรับแพลตฟอร์มเทรดที่ได้รับความนิยมอย่าง MT4, MT5, และ Pro Trader พร้อมด้วยการดำเนินการที่รวดเร็วและสเปรดต่ำ ซึ่งจะช่วยให้คุณสามารถตอบสนองต่อการเคลื่อนไหวของตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ Moneta Markets ยังได้รับการกำกับดูแลจากหน่วยงานชั้นนำหลายแห่ง เช่น FSCA, ASIC, และ FSA ซึ่งมอบความมั่นใจในด้านความปลอดภัยของเงินทุนของคุณ
บทสรุป: การผงาดของบริกส์และอนาคตเศรษฐกิจโลก
การเติบโตและการขยายตัวของกลุ่ม บริกส์ (BRICS+) สะท้อนให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงของระเบียบเศรษฐกิจโลกสู่การเป็น “หลายขั้วอำนาจ” มากขึ้น นี่คือปรากฏการณ์ที่ไม่อาจมองข้ามได้สำหรับนักลงทุนทุกคน พวกเขาไม่ใช่เพียงแค่กลุ่มประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ที่รวมตัวกัน แต่คือพลังที่กำลังท้าทายโครงสร้างอำนาจเดิมและสร้างเส้นทางใหม่สำหรับการพัฒนาเศรษฐกิจและภูมิรัฐศาสตร์
แม้ว่ายังคงมีความท้าทายในการบรรลุเป้าหมายบางประการ โดยเฉพาะเรื่องการสร้างสกุลเงินร่วมของ บริกส์ ที่ยังคงอยู่ในขั้นแนวคิด แต่ศักยภาพของกลุ่มในแง่ของขนาดเศรษฐกิจ ประชากร และการควบคุมทรัพยากรธรรมชาติ ทำให้ BRICS+ เป็นพลังสำคัญที่มีอิทธิพลต่อทิศทางเศรษฐกิจโลกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
สำหรับ ประเทศไทย การเข้าร่วมเป็น “ประเทศหุ้นส่วน” ของ BRICS+ จึงเป็นย่างก้าวเชิงยุทธศาสตร์ที่อาจนำมาซึ่งโอกาสทางเศรษฐกิจอันหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นการเข้าถึงตลาดใหม่ แหล่งเงินทุน หรือการเพิ่มบทบาทในเวทีโลก อย่างไรก็ตาม การดำเนินการต้องเป็นไปอย่างรอบคอบและชาญฉลาด เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดและสามารถรักษาสมดุลในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศท่ามกลางกระแสการแบ่งขั้วอำนาจที่กำลังเกิดขึ้น คุณในฐานะนักลงทุน จำเป็นต้องติดตามพลวัตเหล่านี้อย่างใกล้ชิด เพื่อให้สามารถปรับกลยุทธ์การลงทุนและแสวงหาโอกาสในภูมิทัศน์เศรษฐกิจโลกที่กำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วนี้
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับbrics คือ
Q:BRICS+ คืออะไร?
A:BRICS+ เป็นกลุ่มประเทศที่รวมเอาประเทศโบราณจาก BRICS และสมาชิกที่เพิ่มเข้ามาใหม่เพื่อเสริมสร้างความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการเมือง
Q:การเข้าร่วม BRICS+ มีข้อดีอะไรบ้าง?
A:การเข้าร่วม BRICS+ ช่วยให้ประเทศสมาชิกเข้าถึงตลาดใหม่ แหล่งเงินทุน และความร่วมมือด้านเศรษฐกิจและการพัฒนาที่ดีกว่า
Q:BRICS+ สามารถท้าทายระบบการเงินโลกได้จริงหรือไม่?
A:BRICS+ มีศักยภาพในการท้าทายระบบการเงินโลกในปัจจุบันผ่านการสร้างสกุลเงินร่วมและใช้สกุลเงินท้องถิ่นในการชำระเงินระหว่างประเทศ